ใต้แสงจันทร์ : เทือกเขามังกรหลับ

เรื่องสั้น

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคฉุนจัดลอบมากระทบจมูก เสียงผู้หญิงที่พึมพำอยู่ข้างหูเมื่อครู่ ค่อยๆ แผ่วลง…แผ่วลง เพดานสีขาวหม่นมัวแล้วค่อยๆ มืดมิด ร่างกายอันหนักอึ้งในคราวแรกเริ่มเบาหวิว เธอรู้สึกราวล่องลอยไปในอากาศ

พระจันทร์กลมโตลอยเลื่อน ข่มรัศมีดาวให้จมลงไปในผืนฟ้าเบื้องหลัง เวิ้งฟ้ากระจ่างตา แลราวโคมแห่งพระเจ้าทรงเปิดประทานแก่โลกมนุษย์ เพื่อให้ยลความงดงามในยามราตรี อีกฟากหนึ่งนั้น ดาวน้อยแอบกะพริบระยิบระยับ รางเลือน และถ่อมตนต่อความสุกสกาวของผู้เป็นเอกในรัตติกาล ลมโชยชายไล้ผิวกายแผ่วผ่าว แม่ปูเสื่อที่ชานเรือน แล้วเรียกเธอออกมานอนรับลม อาบแสงจันทร์ แล้วแม่ก็จะนิทานสนุกๆ ให้ฟัง

บ้านทรงไทยเก่าแก่ของย่า เด่นกระจ่างท่ามกลางแมกไม้รายรอบ ภายใต้ความสว่างไสว อ้อนห่ม ผ้านวม นอนหนุนตักแม่ พลางจับหางเปียยาวขึ้นกวัดไกวในอากาศ “แม่คะ แม่ว่า ในดวงจันทร์มีตากับยายจริงไหมคะ?” แม่ยิ้ม ลูบศีรษะอย่างปรานีแล้วเอ่ยตอบ “นอกจากตากับยายแล้ว ยังมีกระต่ายอีกด้วยไงจ้ะ”

“แต่อ้อนยังสงสัยค่ะ มองยังไง๊ ยังไง อ้อนก็เห็นว่า เหมือนเจ้ากระต่ายมากกว่าตากับยายอยู่ดี” สาวน้อยที่เพิ่งจบชั้นอนุบาลทำหน้าตาจริงจังกับความเห็นของตน

“ตากับยายอยู่ในบ้านจ้ะ บ้านของตากับยายอยู่ด้านหลังโน่นแน่ะ ส่วนเจ้ากระต่ายก็มาตำข้าวที่ลานหลังบ้านก็ด้านที่อ้อนมองเห็นไงล่ะจ๊ะ” แม่ชี้ชวนให้เธอคล้อยตามคำบอกเล่า

“บ้านตากับยายมีทีวีดูไหมคะ?”

“ไม่มีหรอกจ้ะ บนดวงจันทร์ไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนบ้านเรานะลูก ต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์”

“ว้า! งั้นอ้อนก็ไม่อยากไปเที่ยวบ้านตากับยายแล้วล่ะค่ะ ทีวีก็ไม่มีให้ดู ไม่เห็นน่าสนุกเลย” เจ้าตัว ยืนยัน ขณะผุดลุกนั่งส่ายศีรษะจนหางเปียสะบัด แม่ทำตาโตกับกิริยานั้นแล้วหัวเราะเสียงดัง

“เอาอย่างนี้ดีกว่า แม่จะเล่านิทานเรื่องใหม่ให้ฟังนะจ้ะ” อ้อนล้มตัวลงนอนฟังอย่างสนอกสนใจ จนลืมถามปัญหาที่ยังสงสัย ‘เอ….แล้วตากับยายไม่มีลูกมีหลานรึไงน้า? ถึงต้องอยู่กับเจ้ากระต่าย’
.
.
.

บัดดล ภาพนั้นก็หมุนวนลอยคว้างห่างออกไป กลายเป็นภาพของพ่อ พ่อผู้มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว กลับมาถึงบ้านทีไร พ่อขวางหูขวางตากับสิ่งรอบข้างง่ายๆ เสมอ ยิ่งพอแม่เอ่ยถามแล้วล่ะก็ พ่อจะโวยวายเอะอะอาละวาดขว้างปาข้าวของ สบถ ก่นด่าดังลั่น อ้อนกลัวนัก กลัวเวลาที่พ่อตบตีแม่ ในขณะที่แม่เอาแต่ปัดป้องร่ำร้องขอความเห็นใจ

“เป็นเพราะแก แกคนเดียว นังผู้หญิงหน้าโง่ แกไม่เคยช่วยอาไร้ฉันเล้ย ดีแต่เฝ้าบ้านเหมือนหมา ตัวนึง แล้วเป็นงาย ห๊า! แล้วเป็นยางงาย พอฉันโหมดตัว แกก็ดีแต่ร้องไห้” น้ำเสียงอ้อแอ้ แต่ฝ่ามือนั้นหนักแน่น ใบหน้าของแม่ปรากฏริ้วรอยนิ้วมือขนาดใหญ่เรียงกันบนแก้มทั้งซ้ายและขวาอยู่บ่อยครั้ง เสียงเตะโต๊ะเก้าอี้เริ่มขึ้นทีไร อ้อนรีบซุกกายเข้าไปนอนราบใต้พื้นเตียง นิ่งฟังเหตุการณ์ด้วยใจระทึก เสียงหัวใจเต้นรัว ตึ๊กๆ ตั๊กๆ แข่งกับเสียงคำรามของพ่อ มันแทรกซอนเขย่าประสาทให้กระเจิดกระเจิง

แม้ย่าจะแก่มากแล้ว ยังโผเข้าขวางทุกครั้งที่พ่อลงมืออย่างทารุณกับแม่

“แม่หลบไป โผมจะตบอีนี่สักหน่อย หมั่นไส้มันนัก เกะกะส้นตีน” พ่อโบกมือไล่ ครั้นย่าไม่ยอมหลบ พ่อหัวฟัดหัวเหวี่ยง ฮึดฮัดอยู่เป็นครู่ก่อนผละเข้าไปซอกแซกค้นหาเงินในห้องนอน แล้วโผเผออกจากบ้าน โดยที่แม่ยืนพิงประตูซับน้ำตาเงียบๆ กระทั่งจวนรุ่งสางถึงจะเซซังกลับมา

ย่าปรับทุกข์กับอาพรรณอยู่บ่อยๆ

“แม่หมดหนทางแล้วลูกเอ๊ย! ดูพี่แกสิ งานการไม่ยอมทำเอาแต่กินเหล้าทั้งวัน จะเสียอกเสียใจอะไร นักหนา เงินทองที่หมดไป ถือซะว่า มันไม่ใช่ของเรา ยังไงซะก็เริ่มต้นชีวิตใหม่”

“ยังงี้แหละแม่ คนเคยมีชีวิตฟู่ฟ่า ใช้เงินมือเติบ มีอีหนูล้อมหน้าล้อมหลัง หนูเตือนเขาแล้วเขาฟังซะ ที่ไหน เรื่องหุ้นบ่อนน่ะ” อาพรรณกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมองไม่แพ้กัน

“เวรกรรมแท้ๆ”

“เงินคดเงินโกงน่ะแม่ ได้มามีแต่ความพินาศ”

อ้อนพอจะรู้ว่า พ่อมีเพื่อนที่เป็นนักพนันตัวยงหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าของบ่อนใหญ่ในจังหวัด เขามาเล่นไพ่ที่บ้านเสมอๆ พักหลังหายหน้าไป พร้อมกับพ่อเริ่มกินเหล้าพลางแช่งชักหักกระดูกเขาไปพลาง ยิ่งเวลาเมาหนักๆ ด้วยแล้ว ถึงขั้นยืนตะเบ็งเสียงด่าทอกับลมกับฟ้าอย่างเดือดดาลบ้าคลั่ง

ภาพของพ่อบิดเบี้ยว ควันขาวฟุ้งกระจายคละคลุ้งขึ้นรอบตัว อ้อนลำลักสองสามครั้ง ม่านหนาทึบค่อยสลายลง แลเบื้องหลังเต็มไปด้วยญาติโกโหติกาในชุดดำนั่งหน้าสลอน ทุกคนสีหน้าเศร้าสร้อยหม่นหมอง ป้า น้า และอาผู้หญิงใบหน้าซูบซีดอิดโรยมีร่องรอยผ่านการร้องไห้อย่างหนัก

อ้อนเดินเข้าไปใกล้ ขยับเท้าเข้าไปอีก ใกล้เข้าไปอีก ภาพถ่ายครึ่งตัวของแม่กับย่า วางบนขาตั้งสีขาวสูงประมาณอก เคียงคู่กัน มีดอกไม้ประดับประดารอบรูป ข้างๆ กันเป็นโลงสีทองสลักเสลาอย่างสวยงาม แสงวิบวับของไฟกะพริบพร่างพราย เสียงญาติๆ ซุบซิบกันเบาๆ

“ไม่น่าเลยนะ…ไม่น่าเล้ย ! นี่ถ้าคนขับมันไม่เมาล่ะก็ คงไม่ขับเร็วขนาดนั้นหรอก”

“แล้วมันแฉลบมาชนได้ยังไงล่ะ” อีกคนซักขึ้น

“มันหลับในน่ะสิ เลยเสยมาชนเข้า นี่ขนาดยืนบนฟุตปาธแท้ๆ เทียวนะ” อีกคนเอ่ยตอบ

เด็กสาวชุดดำถักผมเปียนั่งคุดคู้ก้มหน้าสะอึกสะอื้นอยู่ข้างเสา เธอร่ำไห้ราวโลกจะแหลกสลาย

“คิดซะว่า ย่ากับแม่เขาไปสบายแล้วนะลูกนะ” อาพรรณกอดเธอแนบอก ทั้งๆ ที่อาเองก็น้ำตานองหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอา

“ไม่! อ้อนไม่เชื่อ แม่ยังไม่ตายใช่ไหมคะ? ย่ายังไม่ตาย ฮือๆๆ แล้วอ้อนจะอยู่กับใคร?” พูดได้เพียงเท่านั้น เธอก็ซุกซบกับอกอาพรรณ เสียงร่ำร้องนั้นกึกก้องอยู่ในโสตประสาท

พ่อโซซัดโซเซมาถึง กระชากไหล่อ้อนจนหน้าหงาย ขณะกระชากเสียงใส่น้องสาว

“มันตายซะได้ก็ดี อีคนไม่มีประโยชน์พรรณนี้ กูจะได้เลิกรกหูรกตา ไป๊! กลับบ้านได้แล้วนังอ้อน แกจะร้องหาสวรรค์วิมานอะไรนักหนา ร้องให้ตาย มันไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกน่า” ญาติๆ เข้ามากันพ่อออกไปอีกทาง อาพรรณส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วจูงมืออ้อนเดินจากมา

ภาพนั้นเริ่มสั่นและพร่าเลือน

.
.
.
“อ้อน ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” แนนกอดเธอแน่น เมื่อฟังเรื่องจบ

“ระยำจริงๆ มันยังเป็นพ่อแกอยู่อีกรึนี่ ! แล้วแกโทร. บอกอาพรรณหรือยัง?” อาพรรณที่แสนดีคอยเป็นห่วงเป็นใยอ้อนอยู่เสมอ อาย้ายไปทำงานที่นครสวรรค์เมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่า เมื่ออ้อนเรียนจบ ชั้น ม.5 แล้วจะให้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ด้วย

อ้อนไม่กล้าบอกอาพรรณ กลัวอาจะเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจะขมขื่นใจแค่ไหนหนอ? พ่อเล่า…อ้อนกลัวพ่อจะรู้ พ่อต้องตามมาตบตี คงไล่เตะเธอจนกลิ้งเหมือนที่เคยเตะแจกันใบใหญ่ของย่าจนแตกกระจาย หรืออาจจะใช้มือหนาหนักบีบคอเธอจนหักตาย ที่น่ากลัวกว่านั้น เธอกลัวพ่อจะจิกหัวเธอกลับไปที่นั่นอีก….

“ไม่นะ ไม่ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ ฉันกลัว กลัวพ่อจะตามมาอีก” เธอผวาร้องออกไปด้วยความลืมตัว เสียงแหบพร่า ในหัวเต็มไปด้วยภาพใบหน้าพ่อแสยะยิ้ม แล้วแปรเป็นเกรี้ยวกราด

“งั้นแกจะต้องเข้มแข็ง ไม่มีใครช่วยแกได้ นอกจากตัวแกเอง” แนนกร้านกร้าวอย่างนี้เสมอกับการ แก้ปัญหา ความเข้มแข็งของแนนเป็นเกราะคุ้มภัยที่ดี หล่อนเป็นทั้งเพื่อนสนิท และที่พึ่งพาใน ยามยาก เพื่อนที่พ่อบริภาษถึงอย่างหยาบคาย

“อ้อ! แกชอบคบนังคนนี้นี่เอง แกรู้หรือเปล่า? มันเป็นกะหรี่ในคราบนักเรียน ชอบหากินกับผู้ชายไม่เลือกหน้า ระวังตัวไว้เถอะ แกจะเป็นเหมือนกับมัน วันๆ เอาแต่แต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้ ”

อ้อนหนีไปนอนบ้านแนน ทุกครั้งที่พ่ออาละวาดหนักหนากว่าปรกติ แม่ของแนนนิยมการเล่นไพ่เป็นชีวิตจิตใจ ฝ่ายพ่อก็มีเมียน้อยมากหน้าด้วยฐานะทางการงานและการเงินอันเอื้ออำนวย ทั้งสองต่างทำตามความพอใจของตัวเองโดยไม่ยี่หระกับเรื่องใดๆ แม้กระทั่งการดูแลลูกสาวคนเดียว

แนนเคยชินกับความเหงา หล่อนกล้าหาญนัก คบเพื่อนฝูงมากมาย เที่ยวกลางคืนอยู่เนืองๆ และไม่เคยแคร์ที่จะหลับนอนกับผู้ชายแปลกหน้าที่หล่อนพึงใจ

“ฉันจะช่วยแกเอง ฉันเคยทำมาแล้ว ที่ที่เขาทำดีๆ ค่อนข้างปลอดภัยก็มี” แนนยืนยัน ขณะที่อ้อนสิ้นไร้เรี่ยวแรงจะจัดการกับชีวิตของตัวเอง

“แต่…ฉันกลัว” เธอเปล่งเสียงแหบพร่าแผ่วเบา

“ถึงกลัวก็ต้องทำ แกจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ สังคมเส็งเคร็งนี่มันเห็นใจใครไม่จริงหร็อก ถึงพวกมันจะพล่ามว่า สงสารแก แต่ลับหลังมันซุบซิบนินทาแกอย่างสนุกสนาน แกจะทนได้รึ? ทนให้ใครต่อใครพูดจา แดกดัน แอบหัวเราะเยาะ แล้วมองแกด้วยสายตาสมเพชเวทนาไปตลอดชีวิต”

“แต่ฉัน….”

“ไม่มีแต่ แกต้องไปกับฉัน เรื่องเงิน ฉันช่วยแกได้” น้ำเสียงของแนนแข็งกร้าว ใบหน้าของแนนเริ่มบิดเบี้ยว เลือดข้นขลั่กไหลออกมาจากหางตา จมูก และริมฝีปากทั้งมุมซ้ายขวา อ้อนเพิ่งสังเกตเห็น แนนคล้องโซ่เส้นโต ประดับด้วยหัวกะโหลกเล็กหลายขนาด พวกมันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน อ้อนตกตะลึง เธออ้าปากร้องแต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ร่างของแนนลอยวูบหายไปในกลุ่มควันพวยพุ่งหนาทึบ
.
.
.

ครืดๆๆ ครืดๆๆ…………..หวี้ดๆๆ

‘เสียงอะไรน่ะ เสียงอะไร’ เธอร้องเอ็ดอึง เสียงคล้ายเครื่องปั่นน้ำผลไม้ที่แม่ใช้ปั่นในตอนเย็น เพราะย่ามักจะซื้อผลไม้จากตลาดมาด้วย อ้อนยกมือปัดควันขาวที่พวยพุ่งใกล้ใบหน้าสองสามครั้ง

‘ครัวที่บ้านนี่นา’ พ่อยืนหันข้างกำลังง่วนกับกิจกรรมต่อหน้า มือขวาถือมีดบาง มือซ้ายถือเหยือกบรรจุน้ำสีแดงเข้มข้น พ่อบรรจงเทมันจากเหยือกลงในช่องฝาด้านบน เพื่อให้เครื่องปั่นปั่นได้คล่อง เสียงฝีเท้าของเธอทำให้พ่อผินหน้ามาหาช้าๆ พลางเหยียดยิ้ม

“แกมาพอดี มานี่สิ มากินหัวใจปั่นกับพ่อ หัวใจคนไงล่ะ ฮ่าๆๆๆ” อ้อนผงะ หน้าซีดเผือด ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้มีน้ำสีแดงขุ่นข้น เท้าเปลือยเปล่าของเธอเหยียบถูกน้ำเหนียวๆ อ้อนก้มลงมอง

กลิ่นคาวคละคลุ้ง เลือดหยดเป็นทางยาวไปถึงตำแหน่งที่พ่อยืน ลิ่มเลือดเกาะกลุ่มเรี่ยราดตามพื้น ข้างเท้าเธอมีร่างเด็กสาวในชุดดำนอนแผ่ราบ อ้อนเพ่งมองใบหน้าของหล่อน แล้วก็เริ่มชัดขึ้นๆ

‘นั่นมัน…ฉันเองนี่นา..’ เธอรู้สึกหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ขนลุกชันไปทั่วร่าง

“กรี๊ด!!!” เธอกรีดร้องอย่างเสียขวัญ หันหลังกลับแล้ววิ่ง วิ่งสุดแรงเกิด ‘ฉันต้องออกไป ฉันต้อง ออกไปจากบ้านหลังนี้’ หัวใจเต้นตุบๆ รัวเร็วราวจะพุ่งออกมานอกอก

“แกจะหนีพ่อไปไหน พ่อไม่มีใครอีกแล้ว เหลือแกอยู่คนเดียว” เสียงนั้นไล่ตามติดเธอไม่ลดละ

“ไม่! ไม่นะ! อ้อนไม่อยู่กับพ่อ อ้อนกลัวแล้ว กลัวแล้ว อย่าทำอ้อนเลย….” เธอร้องออกไปด้วยความหวาดผวา แต่มันกลับเป็นเสียงที่แหบเครือแตกพร่า และสั่นสะท้านจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง

แคว้ก! แควก! พ่อเงื้อมมือขึ้นควากคว้ากระชากเสื้อของเธอจนขาดวิ่น

“อย่า! พ่อ! อย่าทำอ้อน อย่าทำอ้อนเลย อ้อนกลัวแล้ว” เธอทั้งวิ่งทั้งตะโกนไปจนถึงชานบ้าน แม่นั่ง พับเพียบบนเสื่อ สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงสีดำ แหงนหน้าเล็กน้อย ดูเหม่อลอย แสงจันทร์สาดสว่าง แม่ผินหน้ามามองเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อยและห่วงใยอย่างสุดซึ้ง อ้อนถลาโถมตัวลงกอด

“แม่ขา แม่ ช่วยอ้อนด้วย พ่อจะฆ่าอ้อน อ้อนกลัว” แม่กอดเธอไว้แน่นคล้ายจะปกป้อง

ฉับพลันแม่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวและเยียบเย็นจับขั้วหัวใจ

“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอกนังอ้อน แกต้องอยู่กับฉัน อยู่กับฉันที่นี่ตลอดไป” เธอสะดุ้งสุดตัว เสียงนั่น ไม่ใช่เสียงของแม่ แต่เป็น……..

อ้อนกรีดร้องโหยหวนราวสัตว์ป่าถูกแร้วนายพราน มือของพ่อแข็งราวคีมเหล็กบีบต้นแขนแน่นจนตัวเธอเกร็งด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของพ่อแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม มันขุ่นข้นคล้ายหยดเลือดที่เธอเห็นในเหยือกนั่น พ่อผลักเธอหงายหลังกับพื้น ไม่นำพากับเสียงคร่ำครวญและถ้อยวิงวอนใดๆ พ่อกดเธอไว้ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกระชากผมแถวท้ายทอยอย่างแรงจนหน้าแหงนหงาย เธอหมดสิ้นหนทางจะกระเสือกกระสน ดิ้นรนหนี

ท่ามกลางหยาดน้ำตารื้นและเสียงกรีดร้องก้องชานเรือน อ้อนมองเห็นตากับยายยืนคู่กันมองตอบเธอด้วยแววตาโศกสลด เจ้ากระต่ายหยุดตำข้าว มันยืนนิ่งขึ้ง ดวงตาแดงก่ำสีทับทิม มีหยาดน้ำตาสีแดงสดไหลเป็นทาง

อากาศร้อนอบอ้าว ผิวกายของเธอเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เธอวิ่งหนีพ่อได้แล้ว วิ่งจากบ้านหลังนั้นมาไกลแสนไกล เหนื่อยหอบจนต้องหยุดพัก ลำคอแห้งผาก น้ำลายเหนียวๆ กลืนลงยากเย็น เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าไหลย้อย เธอเลียริมฝีปากได้รสเค็มปะแล่มๆ
.
.
.

เปลือกตาหนักอึ้ง เธอค่อยๆ ลืมตา สีขาวพร่าพรายพลันชัดเป็นลำดับ เพดานขาวไม่คุ้นตา ‘ไม่ใช่ที่บ้าน นี่นา ที่ไหนนะ ที่ไหนกัน’ เธอเอ็ดอึงในใจ ขณะเริ่มทบทวนความจำ

“เป็นไง เรียบร้อยดีนะ เจ็บนิดเจ็บหน่อยเป็นธรรมดาแหละ ครั้งแรกไม่ใช่เรอะ! คราวหน้าเดี๋ยวก็ ชินเอง” ผู้หญิงวัยกลางคนในเสื้อกาวน์ที่ยืนชิดเตียงกล่าวกระแทกกระทั้น

ในช่องท้องมีอาการปวดตุบๆ เธอนิ่วหน้าข่มความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง เกร็งตัวเมื่อมันแล่นขึ้นเป็นระยะๆ เธอจิบน้ำที่หล่อนจ่อปากให้เล็กน้อยก่อนจะยันกายขึ้นนั่ง เหลือบแลไปด้านข้าง เตียงที่มีขาหยั่ง ชิดด้านปลายเท้า น่ากลัวราวหลักประหาร ใกล้ๆ เป็นชั้นล้อเลื่อนสแตนเลส ชั้นบนสุดมีขวดแก้วใบเขื่องวางอยู่ ข้างในดูคล้ายเนื้อซอสมะเขือเทศข้นแต่สีเข้มจัดบรรจุอยู่เกินครึ่ง จุกด้านบนมีท่อแก้วต่อกันกับแล้วสายยาง สีเหลืองอ่อนยาวม้วนขดอยู่ แลเห็นคราบเกรอะกรังข้างในท่อและสายยางเช่นเดียวกับในขวดแก้ว

ผู้หญิงสวมเสื้อกาวน์ราวอ่านใจออก หล่อนชิงพูดขึ้น

“นั่นล่ะ ผลงานของเธอไง ฉันดูดมันออกมาปั่นซะเละเชียวล่ะ”

อ้อนจ้องสิ่งที่ข้นคลั่กในขวดแก้วนั่น กลิ่นคาวเลือดฟุ้งขึ้นจ่อปลายจมูก ท้องมวนขยักขย้อนขึ้นมาตามลำคอเป็นริ้วๆ

“เรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวจะบอกญาติมารับ คนต่อไปจะได้เข้ามา” น้ำเสียงหล่อนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ หน้าที่หล่อนจบสิ้นเท่านี้ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงแฝงร่องรอยเหยียดหยันแกมสมเพชอยู่ในที

อ้อนโผเผลงจากเตียง ขณะที่แนนรี่เข้ามาประคอง

“เป็นไงอ้อน ไหวรึเปล่า? ดูแกสิ ซีดเซียวจัง”

“ฉันทนไหว” เธอตอบสั้นๆ ใช่สิ…ต้องทนไหว ความเจ็บปวดรวดร้าวมันแทรกซึมทุกอณูขุมขน จนแยกแยะไม่ออกว่า เธอเจ็บที่ไหนมากกว่ากัน ระหว่างร่างกายและจิตใจ

เสียงผู้หญิงคนนั้นลอยไล่หลังมากระทบโสตประสาท

“รักสนุกล่ะก็ ทีหลังหัดใช้ซะมั่ง ยาคุม กับถุงยางน่ะ จะได้ไม่ต้องมาลำบากยังงี้”
.
.
.

ดวงจันทร์กลมโตสีเหลืองนวลอร่ามลอยคว้างกลางเวิ้งฟ้า เมฆหมอกคลี่คลายคล้ายม่านสีเทาเบาบางเลื่อนเคลื่อนผ่าน บดบังรัศมีจันทร์ช้าๆ ลมกรรโชกมาวูบใหญ่ หอบใบไม้ที่หล่นเกลื่อนลานจอดรถลอยลิ่วคว้าง

แนนปรับเบาะที่นั่งคู่คนขับให้เธอเอนกายสบายๆ เมฆเคลื่อนคล้อยค่อยหลบแสงเย็นตาให้สาดเข้ามาด้านหน้ารถโลมไล้ร่างเธออย่างอ่อนโยน ผิวเหลืองอร่ามของพระจันทร์พลันเปลี่ยนเป็นสีเลือด เจ้ากระต่ายกลายร่างเป็นทารกสีดำสนิทขดตัวในครรภ์มารดา สายสะดือสีเดียวกันขดวนรายรอบ

น้ำตาอ้อนไหลเลียบร่องแก้มเป็นทางยาว อ้อนพบแล้ว…คำตอบที่เคยคิดจะถามแม่ ในความเงียบงันของหัวใจ เธอได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองแรงขึ้น แรงขึ้น จนร่างสั่นสะท้าน