เพื่อนของฉัน : วฤนท์ วงศ์ประดิษฐ์

เรื่องสั้น

ที่บ้านเรามีโต๊ะอาหาร แต่เดี๋ยวนี้มันถูกใช้เป็นโต๊ะทำงานของแม่ น้อง และฉันแทน เนื่องจากเราสามสาวต่างวัยต้องการพื้นที่มากมายในการวางข้าวของ อย่างไรก็ตามทุกคนในบ้านก็พอใจกับการตักอาหารจากในครัวมานั่งรับประทานกันที่โซฟารับแขกมากกว่า เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องรอกัน ใครหิวก็สามารถจัดการก่อนได้เลย

วันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ฉันตักอาหารใส่จานของตนเองมาสมทบกับคนอื่นๆ ในครอบครัวที่โซฟาตัวใหญ่ซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องรับแขก พ่อ แม่ และน้องเกือบจะอิ่มแล้ว แต่ฉันที่มาช้ากว่าใครนั้นยังเหลืออาหารในจานอีกกว่าครึ่งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกคนในบ้านหันมามองที่ฉันเป็นการบอกให้รู้ว่าต้องเป็นคนไปรับสาย ไม่ใช่เพียงเพราะอยู่ใกล้เครื่องโทรศัพท์ที่สุด แต่เป็นเพราะหมายเลขของเจ้าเครื่องที่กรีดเสียงร้องดังลั่นอยู่ขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นหมายเลขส่วนตัวของฉันคนเดียว

ฉันเดินไปรับสายอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แล้วเมื่อพบว่าอีกฝ่ายคือ “เพื่อน” ความไม่พอใจเมื่อครู่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ฉันพยายามตั้งสติ เมื่อเพื่อนกรอกเสียงที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นมาตามสาย

เรารู้จักกันครั้งแรกตอนมัธยมต้น เมื่อบังเอิญสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมเดียวกัน ต่อมาเราก็ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมปลาย สามปี…ที่เราเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียน ทว่ายังรู้จักกันแต่เพียงผิวเผิน จนกระทั่งเพื่อนและฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในคณะเดียวกัน เหตุการณ์นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเพื่อนสนิทของเราสองคน

เมื่อครั้งอยู่ห้องเดียวกันสมัยมัธยม ฉันเคยได้ยินเพื่อนพูดถึงน้องชายวัยไล่เลี่ยกัน ที่กำลังจะเลิกเรียนหนังสือและไปมีครอบครัว ยอมรับว่าในเวลานั้นฉันไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะคิดว่าเพื่อนกำลังเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง แต่บังเอิญฉันไปอยู่แถวนั้นด้วยเท่านั้น แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยมา ฉันก็เพิ่งรับรู้ว่าเรื่องน้องชายของเพื่อนนี้แทบจะทำลายความสงบสุขของครอบครัวที่เพื่อนเคยมีให้หมดไป

เพื่อนอายุมากกว่าฉันถึงสองปี ดังนั้นน้องชายที่อ่อนกว่าเพื่อนหนึ่งปีจึงมีอายุมากกว่าฉันไปด้วย เพื่อนเล่าให้ฟังว่าน้องชายที่เป็นคนเกกมะเหรกเกเรได้ตัดสินใจเลิกเรียนตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมต้นเนื่องจากต้องการมีครอบครัว ไม่สนใจว่าทางบ้านจะขอร้องหรืออ้อนวอนด้วยความเป็นห่วงอย่างไร และแล้วน้องชายพร้อมกับภรรยาและลูกสาวแรกเกิดอยู่ในบ้านของเพื่อน โดยมีแม่ของเพื่อนรับภาระดูแลทุกอย่างเนื่องจากสองสามีภรรยาต่างก็ยังเป็นเด็ก และไม่คิดจะทำอะไรเป็นการช่วยเหลือแม้กระทั่งครอบครัวเล็กๆ ของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นน้องของเพื่อนซึ่งมีนิสัยเป็นอันธพาลยังหาเรื่องกับทุกคนในบ้านอยู่เสมอๆ ทำให้ทุกคนต่างก็เอือมระอาในพฤติกรรมไปตามๆ กัน

อันที่จริงแม่ของเพื่อนก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ลูกชายสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะพาทั้งสองสามีภรรยาไปสมัครทำงานกับคนรู้จัก แต่ทุกครั้งก็จะพบกับความผิดหวังเมื่อผู้เป็นลูกชายที่เข้ามาขอเงินไปทำงานทุกวันกลับไปปรากฏตัวที่ที่ทำงานแค่เพียงไม่กี่วันแรก จากนั้นก็หายตัวเอาเงินไปเล่นตู้เกม ให้แม่รับรู้ความจริงจากคนในที่ทำงานเองว่าลูกของตนไม่ได้ไปทำงานแต่อย่างใด

ที่แล้วที่เล่าที่แม่ของเพื่อนเพียรฝากงานให้ด้วยความหวังที่ยังคงเรืองรองในหัวใจว่าลูกชายจะกลับตัวได้ กระทั่งแม่ของเพื่อนต้องตัดสินใจส่งครอบครัวเล็กๆ ของลูกชายออกจากบ้านให้ไปทำงานกับญาติของฝ่ายหญิงที่ต่างจังหวัด ความลำบากที่ทั้งสองสามีภรรยาเพิ่งได้ประสบเป็นครั้งแรกนี่เองที่ทำให้ทั้งสองดูอ่อนลง เมื่อน้องชายกลับมาบ้านด้วยท่าทางซูบซีดผิดตาพร้อมกับคำพูดอย่างคนสำนึกตัวและบอกเล่าความลำบากของตนและลูกเมียให้ฟังอย่างมากมาย เพื่อนจึงใจอ่อนอ้อนวอนแม่ให้รับทั้งสองกลับเข้าบ้านอีกครั้ง

แม่ของเพื่อนตกลงให้ทั้งสามคนกลับมา การตัดสินใจครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากการอ้อนวอนของเพื่อนที่คิดว่าน้องชายกลับตัวได้แล้วนั่นเอง แต่แม่ของเพื่อนก็ยังคงระวังโดยจัดการเช่าห้องพักแถวบ้านให้อยู่ ไม่ให้กลับเข้ามาอยู่ในบ้านอีกต่อไป และแล้วเพื่อนก็พบว่าตัวเองได้ทำความผิดพลาดร้ายแรงให้กับทุกคนในครอบครัวจากการดูน้องชายตนเองผิดไป บ้านที่สงบสุขไปได้ไม่กี่เดือนกลับร้อนเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อน้องชายกลับมาอยู่ใกล้ๆ และทำตัวเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะวันๆ น้องชายของเพื่อนที่มีหน้าที่เลี้ยงลูกขณะผู้เป็นภรรยาออกไปทำงานหาเงินนั้นเอาแต่กินกับนอน แล้วก็ไถเงินจากแม่และเพื่อนเพื่อไปเล่นตู้เกม อีกทั้งยังใช้การทำร้ายร่างกายภรรยากับลูกเล็กๆ เป็นเครื่องต่อรองยามต้องการให้ทุกคนทำตามใจอีกด้วย

เพื่อนปรึกษาฉันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจและความไม่เข้าใจ…คับแค้นใจที่ตนเองเป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นน้องชายถึงได้ทำกับแม่และพี่น้องเช่นนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นพ่อจึงทำกับเมียและลูกได้ขนาดนี้ และข้องใจว่าทำไมน้องสะใภ้ถึงยอมทนอยู่กับผู้ชายพรรค์นี้ได้ เพราะไม่ว่าทางครอบครัวของเพื่อนจะเปิดโอกาสให้จากไปกี่ครั้ง ผู้เป็นน้องสะใภ้ก็ไม่เคยยอมไป ได้แต่ยอมทนให้สามีทำร้ายตนเองและลูกต่อไปอยู่อย่างนั้น

แม้ผู้เป็นแม่จะไม่เคยปริปากบ่น แต่เพื่อนก็รู้ว่าหัวใจแม่นั้นเจ็บปวดเพียงใดเมื่อได้เห็นลูกชายเป็นอย่างนี้ ลูกชายที่ควรจะเป็นเสาหลักให้แม่และพี่น้อง ลูกชายที่ตนเองต้องลำบากอย่างมากมายกว่าจะเลี้ยงให้เติบโตมาได้…ดังนั้นเพื่อนจึงหวังเหลือเกินว่าจะมีเหตุการณ์หรือปาฏิหาริย์บางอย่างมาช่วยให้น้องชายกลับตัวได้

ฉันไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนอย่างไร เพราะในความรู้สึกของฉันนั้น ไม่มีวันที่น้องชายของเพื่อนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากเดิม ไม่มีทางใดแน่ๆ ในชั่วชีวิตนี้

เพื่อนเคยบอกว่าเพื่อนเป็นเด็กแล้วก็เป็นผู้ใหญ่เลย เนื่องจากต้องเลี้ยงน้องสาวที่เกิดตามมาอีกสองคน และในขณะนี้น้องสาวทั้งสองคนของเพื่อนก็กำลังจะก้าวกระโดด เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควรอีกเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมเลวร้ายของผู้เป็นน้องชายทำเพื่อนและน้องสาวทั้งสองต้องรับภาระเลี้ยงดูหลานกันเองตามมีตามเกิด รายได้ที่น้องสะใภ้ของเพื่อนทำงานได้มาในแต่ละวันนั้นก็ถูกสามีเก็บไปหมด ไม่มีการเหลือมาช่วยค่าเช่าห้องพักหรือค่านมลูกแต่อย่างใด เพื่อนได้แต่ภาวนา ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้มีอะไรมาดลใจให้น้องชายปรับปรุงตัวเองเสียทีเพื่อเห็นแก่ชีวิตน้อยๆ ที่เกิดขึ้นมาดูโลก แต่เสียงภาวนาของเพื่อนคงยังดังไม่พอ เพราะทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเลวร้ายเช่นเดิม

วันนี้ที่เพื่อนโทรมา เพื่อนยังคงโทรมาเรื่องเดิม เพื่อนถามว่าฉันยังจำได้ไหม เมื่อวันสอบปลายภาควันสุดท้ายที่เพิ่งผ่านมาที่เพื่อนแอบร้องไห้แล้วฉันพยายามถาม แต่มีเพื่อนคนอื่นอยู่ระหว่างเรามากมายเหลือเกิน ทำให้เพื่อนไม่สามารถระบายออกมาได้ สุดท้าย…เพื่อนก็ตัดสินใจเก็บมันไว้กับตัว บอกให้ฉันรู้เพียงแต่ว่า “ต่อไปนี้เพื่อนไม่มีแม่อีกต่อไปแล้ว และต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะส่งตัวเองเรียนให้จบ” จากนั้นฉันก็ได้ข่าวว่าเพื่อนและน้องสาวคนรองไปหางานพิเศษทำ เพราะถึงแม้ว่าเพื่อนจะได้รับทุนการศึกษาอยู่ แต่ก็ไม่ได้รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวันทั้งของที่บ้านและที่มหาวิทยาลัย

เพื่อนบอกฉันว่าช่วงปิดเทอมอย่างนี้ได้ฝากน้องสาวคนสุดท้องที่มีอายุเพียงสิบขวบพร้อมกับหลานไว้ที่บ้านน้าจะได้มีคนช่วยดูแล เพราะทั้งน้องสาวคนรองและเพื่อนต่างก็ต้องไปทำงานพิเศษ แล้ววันนี้เองเพื่อนก็ไปรับเด็กหญิงทั้งสองกลับมาเนื่องจากใกล้ถึงวันเปิดเทอมของน้องสาวแล้ว รับกลับมาเพื่อที่หลานตัวน้อยๆ ซึ่งอายุยังไม่ถึงสองขวบดีของเพื่อนจะต้องถูกผู้เป็นพ่อทำร้ายร่างกายอีก

เพื่อนเล่าให้ฟังว่าในวันที่เพื่อนแอบร้องไห้นั้น เป็นเพราะว่าเย็นก่อนหน้า น้องชายที่รำคาญเสียงลูกร้องได้เตะลูกกระเด็นไปติดข้างฝา เพื่อนบอกว่าเพื่อนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เคยเห็นแต่ข่าวเด็กถูกทำร้ายแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์จริงอย่างนี้ แล้วเมื่อเพื่อนอ้าปากจะปรามน้อง ผู้เป็นน้องชายก็รี่เข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนแทน

เพื่อนบอกว่าในชีวิตนี้จะไม่มีวันลืมทุกนาทีที่น้องชายทำร้ายเธอครั้งนั้น แต่ฉันว่าถึงแม้เพื่อนอยากลืม…บางทีภาพที่ว่าก็อาจไม่สามารถลบออกไปจากความทรงจำได้ เพื่อนไม่ตอบโต้ใดๆ ด้วยรู้ดีว่าหากตอบโต้แล้วจะต้องโดนทำร้ายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ จึงได้แต่อดทน และแม่ของเพื่อนก็ตัดใจจากลูกๆ ทุกคนไปในวันนั้น

ฉันไม่รู้ว่าแม่ของเพื่อนทำถูกไหม ในความรู้สึกของฉัน…หญิงสาวคนหนึ่งกำลังถูกทิ้งให้รับภาระดูแลน้องสาวสองคน กับหลานสาวอีกคน ทั้งยังต้องรับมือกับอันธพาลที่เป็นน้องชายแท้ๆ อีกต่างหาก แต่ฉันก็เข้าใจว่าหากแม่ของเพื่อนไม่ไปเสีย ลูกชายก็จะยังคงใช้ความใจอ่อนของผู้เป็นแม่ให้เป็นประโยชน์ในการต่อรองอย่างโหดร้ายของตนเองอยู่ดี

เพื่อนบอกว่าน้องชายเข้ามาทำร้ายลูกอีกแล้วในระหว่างที่เราคุยกัน ทั้งเพื่อนก็ยังกลุ้มใจเมื่อพบว่าหลานมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยร้องไห้ดังลั่นบ้านและซุกซน เดี๋ยวนี้ยามร้องไห้หลานของเพื่อนเพียงสะอึกสะอื้น ระวังไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาด้วยกลัวว่าผู้เป็นบิดาจะเข้ามาทำร้าย

ฉันฟังแล้วเศร้าใจ ได้แต่คิดว่าหลานของเพื่อนกำลังเรียนรู้กับการมีชีวิตอยู่ แม้ว่ามันจะเป็นช่วงอายุที่น้อยไปสักหน่อยก็ตาม อยากจะแนะนำให้เพื่อนไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเด็ก แต่ก็รู้ว่าเพื่อนอาจจะไม่ยอมก็เป็นได้

เพื่อนยังบอกอีกว่าช่วงนี้เงินที่น้องสะใภ้หามาได้ไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องเช่า ทางน้องชายจึงเข้ามาที่บ้านบ่อยๆ พร้อมกับเกริ่นทำนองว่าจะกลับมาอยู่ด้วย เพื่อนตัดสินใจเด็ดขาดจะบอกกับน้องไปว่าสามารถให้ได้เพียงทั้งสองแวะเข้ามาทางอาหารสามมื้อกับเลี้ยงหลานให้เท่านั้น ถ้าทั้งสองสามีภรรยาจะย้ายเข้ามาเพื่อนจะเปิดบ้านให้คนอื่นเช่า คืนลูกให้แก่ทั้งสอง ทางตัวเพื่อนกับน้องสาวอีกสองคนจะไปหาที่อยู่ใหม่ แต่ก็ยังไม่ได้บอก เพราะรู้ดีว่าเมื่อใดที่บอก เมื่อนั้นก็เป็นเวลาที่เพื่อนจะต้องโดนทำร้ายอีกเป็นแน่ เพื่อนไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่กังวลว่าน้องสาวทั้งสองรวมทั้งหลานจะโดนลูกหลงไปด้วย

ฉันตกใจกับการตัดสินใจของเพื่อนเพราะรู้ว่าเพื่อนไม่มีที่อยู่ใหม่ที่ว่านั่นแน่ๆ แต่น้ำเสียงของเพื่อนแม้จะยังคงเครืออยู่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป เพื่อนบอกว่ามันดีกว่าอยู่อย่างทรมานกันทั้งหมดแบบนี้ ทุกวันนี้ไม่มีใครอยากอยู่บ้าน เพียงอยู่แค่ชั่วโมงเดียวโดยมีน้องชายอยู่ร่วมบ้านด้วยเพื่อนของฉันก็แทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเตือนเพื่อนถึงความเป็นไปได้ที่น้องชายจอมพาลจะไปหาเรื่องกับคนที่มาเช่าบ้าน ทำให้เขาอยู่กันไม่ได้ แต่เพื่อนยืนยันว่าน้องชายตนจะกร่างแต่เฉพาะกับคนที่รู้แน่ว่าไม่สามารถตอบโต้ตัวเองได้เท่านั้น นั่นก็คือครอบครัวของเขาเอง

ฉันบอกให้เพื่อนค่อยๆ คิด และขอให้เพื่อนรับปากว่าก่อนจะทำอะไรลงไปช่วยบอกฉันก่อน จะได้ช่วยกันคิดหาทางขยับขยาย ฉันปลอบเพื่อนไปว่าทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง ยังมีคนอีกมากมายที่มีปัญหามากกว่านี้ และพรุ่งนี้…ก็จะดีกว่าวันนี้เสมอ

เพื่อนพยายามรับคำปลอบใจของฉันไปปลอบประโลมใจตัวเอง แต่แล้วเพื่อนก็ถามฉันว่าจะบาปไหม เนื่องจากทุกวันนี้เพื่อนเลิกคิดแล้วว่าจะมีปาฏิหาริย์มาช่วยดลใจให้น้องชายกลับตัว เพื่อนคิดเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะมีใครสักคนมาฆ่าน้องชายของเพื่อนไปสักที เพื่อที่ว่าชีวิตของเพื่อนและครอบครัวจะได้พ้นจากความเลวร้ายนี้ เพื่อนย้ำถามฉันหลายต่อหลายครั้งว่าบาปไหม…ฉันเองก็เพียรตอบไปทุกครั้งว่าไม่บาปเลยที่เพื่อนจะภาวนาอย่างนี้ เพื่อนมีสิทธิ์ที่จะหวัง ขอแต่เพียงว่าเพื่อนอย่าขาดสติและจัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน

กับการภาวนาในครั้งนี้ ฉันหวังเหลือเกินว่าเสียงภาวนาของเพื่อนจะดังพอที่จะทำให้ความปรารถนาของเพื่อนเป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด แม้ว่าความปรารถนานั้นจะดูไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมอย่างมากก็ตาม

เพื่อนตัดสินใจบอกลาเมื่อคุยกันมานานพอสมควร พร้อมกับบอกฉันว่าเอาเรื่องมาระบายให้ฟังเฉยๆ ไม่อยากให้ฉันกลุ้มใจตามเพื่อนไปด้วย ฉันรับปากไปว่าจะไม่คิดอะไรแล้วจัดการวางหูโทรศัพท์ลงที่แป้น ถือจานข้าวที่ยังเหลือของตัวเองกลับมาที่โซฟาตัวใหญ่อันว่างเปล่า คนอื่นๆ ในบ้านทานอาหารกันเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนหน้าแล้ว

ฉันตักอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วตามความเคยชิน ทว่าไม่ได้รับรู้รสชาติของอาหารครึ่งจานหลังนี้เลย เพราะจิตใจของฉันจดจ่ออยู่กับการคิด ไม่ได้คิดเศร้าสร้อยจากเรื่องราวที่เพื่อนเล่าเพราะฉันได้รับปากไว้แล้วว่าจะไม่คิดอะไร เพียงแต่คิดว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนแล้ว ฉันอยากให้ของขวัญที่เพื่อนต้องการมากที่สุด ของขวัญที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนมากที่สุด และของขวัญเดียวที่ฉันคิดออกก็คือการทำให้คำภาวนาของเพื่อนเป็นจริง โดยการหาทางกำจัดน้องชายของเพื่อนให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยตลอดกาล