เธอคือ : มุขจรัส

เรื่องสั้น

“อดทน เข้มแข็งไว้นะๆๆ” ฉันท่องประโยคนี้อยู่หลายเที่ยวและเก็บความวิตกไว้ในใจ กลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหล ทรมาน จะมีใครทุกข์อย่างนี้มั้ยนะ

ทอดตาไปไกลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กว่าจะตั้งสติเก็บข้าวของลงกระเป๋าเตรียมกลับบ้านได้ ก็ใช้เวลาอยู่ไม่น้อย “เมื่อตะกี้เรายังพูดโทรศัพท์กับเพื่อน หัวเราะ ร่าเริงอยู่เลย ทำไมชั่วเวลาเดียว หัวใจก็แฟบหดหู่” เพราะคำบอกเล่าของพี่สะใภ้จากโทรศัพท์ทำให้มือไม้อ่อน

“รีบกลับบ้านนะ แม่ช็อคไปเมื่อเช้านี้” แค่ประโยคเดียว มันสะเทือนไปทั้งใจ ได้ยินเสียงคนรอบข้างคอยให้กำลังใจ

“คนอายุมากแล้วก็อย่างนี้แหละเดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย”

” มีเงินพอกลับบ้านรึเปล่าเอาที่พี่ก่อนมั้ย..” อย่างนี้นี่เองที่ทำให้คนเค้าพูดกันอยู่เสมอว่าคนจะเห็นความดีกันก็ยามทุกข์นี่แหละ

“เชื่อสิ ฉันเชื่อทุกคนที่ปลอบใจฉัน เพราะฉันซาบซึ้งและก็อยากให้เป็นอย่างที่พวกเขาพูด คงไม่มีอะไรเลวร้ายหรอกนะ”

ฉันออกจากที่ทำงานด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง เจอสภาพจราจรในกรุงเทพฯ ใจยิ่งล้าเข้าไปอีก เพจบอกเพื่อนยกเลิกนัด มองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรสดใส ไม่เหมือนเมื่อวานเลย วาดภาพวันหยุดเทศกาลเข้าพรรษาติดต่อกัน 4 วันอย่างสวยงามว่าจะไปวัดที่มีแวดล้อมที่สงบ ใจจะได้เย็นสบาย หาหนังสือดี ๆ กับที่นั่งอ่านอย่างสบายอารมณ์ เขียนจดหมายถึงใครบางคนที่ไม่ได้ติดต่อกันนานเหลือเกิน…

ทุกข์ตอนนี้ฉันทุกข์เหลือเกิน ใจยิ่งคิดสับสนอลหม่าน คิดถึงคนที่เค้าทุกข์กว่าเราสิ เผื่อจะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้น นั่นไงเจอแล้วคนทุกข์กว่าเรา แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้ก็ต้องทนขายไก่ย่างหน้าเตาร้อน ๆ หน้ามัน ควันโขมงเชียว แล้วเด็กคนนี้อีก ตัวดำสกปรก มอมแมม เสื้อผ้าก็ขาด นั่งพับเพียบพนมมือไหว้ผงก ๆ ขอเงินคนเดินผ่านไปมาบนสะพานลอย สายตาเธอวิงวอน หน้าตา เหนื่อยอ่อน ตาไม่มีแววสดใส เธอคงโดดเดี่ยว ไม่มีใคร เหมือนใจฉันตอนนี้เลยรู้มั้ย ถ้าฉันกลับไปยังมีคนที่บ้านรอฉันอยู่ แต่ถ้าเธอกลับไปเธอจะมีใครมั้ยนะ ฉันสงสารเธอหรือสงสารตัวเองก็ไม่รู้ที่พยายามปลอบใจตัวเองให้เข้มแข็งกว่านี้ น้ำตาถึงได้ไหลพราก บอกแล้วไงอย่าไหลออกมา มันสร้างความทดท้อ

ฉันผิดรึเปล่าที่ดิ้นรนมาทำงานกรุงเทพฯ ทำให้ไม่มีเวลาใกล้ชิดกับแม่ ฉันไล่ล่าหาฝัน พลังของวัยหนุ่มสาวทำให้ฉันเข้ามาแสวงหา หาสิ่งที่ฉันอยากจะเป็น อยากจะทำ ฉันรู้สึกล้มเหลวทุกครั้งที่ทำอะไรลงไปแล้วถ้าแม่ไม่เห็นด้วย ถึงแม้ในสายตาคนอื่นจะมองว่ามันดีแล้วก็ตาม
.
.
.
“ไปเป็นนักข่าว บ้าเหรอเปล่า ! วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเขาเนี่ย เห็นในทีวีก็ปวดหัวแทบแย่ เป็นผู้หญิง ผู้ลิง ทำงานอยู่กับโต๊ะที่เดิมมันก็ดีอยู่แล้ว แถมกรุงเทพฯ น่ากลัวจะตายไป”

แม่พูดใส่ฉันจนฉันแทบไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกมันจุกอยู่ในอก เพราะมันผิดจากที่ฉันคิดไว้ คิดว่าแม่ต้องภูมิใจ เพราะกว่าจะสอบเข้าที่นี่ได้ต้องผ่านหลายขั้นตอน และเป็นที่ที่ฉันและหลายคนใฝ่ฝันจะเข้าไปทำงานเพราะมีแต่คนมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง ที่นี่สร้างคนให้เก่ง ฉันได้ยินมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ มหา’ลัย ตั้งแต่รู้ผลว่าฉันก็จะได้ทำงานที่นี่ ใจก็พองโต ตัวแทบระเบิด เพราะฉันผ่านการคัดเลือกจากหลายร้อยคน วันนั้นรีบกลับบ้านมาบอกแม่ แต่แล้วทั้งหน้าและใจก็เหี่ยวแห้ง ใจพยายามคิดว่าอย่าถือสาแม่เลย แม่ไม่มีความรู้ เรียนมาน้อย แม่เลยไม่มีคำพูดที่เป็นกำลังใจให้ฉันเลย แถมยังจู้จี้ขี้บ่น ตามประสาคนแก่ที่เป็นห่วงลูกห่วงหลานทั้งหลาย ถึงแม่จะเป็นอย่างนี้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ตรึงใจลูกเสมอ แม่ทำให้ลูกมีวันนี้วันที่ลูกคนนี้ยืนด้วยขาของตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระใคร แม่ส่งเสียฉันจนเรียนจบ แม่ไม่เคยพูดเลยว่าภูมิใจในตัวลูกคนนี้ แต่ลูกดูรู้จากแววตาที่ชื่นชม แม้ไม่มีคำพูดที่สวยหรู ลูกเข้าใจด้วยความรู้สึก ลูกเองยังไม่กล้าที่จะบอกกับแม่เลยว่าลูกรู้สึกอย่างไร อยากจะบรรยายคำขอบคุณแม่อย่างที่ใจรู้สึก ขอบคุณที่แม่เสียสละ กำลังกาย กำลังใจ เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ และที่สำคัญอยากจะขอบคุณที่แม่ให้ความรู้ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง ขยัน อดทน แม่ไม่ได้สอนด้วยคำพูดแต่แม่บอกลูกด้วยการกระทำ ลูกเก็บเกี่ยวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่กับครอบครัวเรา ถ้าวันที่ผ่านมาแม่ไม่เข้มแข็ง ไม่ขยัน ไม่อดทน ลูก ๆ คงไม่มีวันนี้แน่นอน ลูกได้นำคุณสมบัติของแม่มาใช้ในการดำเนินชีวิตแล้ว ลูกต้องใช้ความอดทนยามชีวิตต้องเจอกับอุปสรรค เวลากระทบกระทั่งกับคนโน้น คนนี้ มองไปทางไหนก็ไม่มีใครเข้าใจ ลูกต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองแล้วลุกยืนขึ้นใหม่ ล้มแล้วก็ลุก ๆ เป็นอย่างนี้บ่อย ๆ ร้องไห้แต่ไม่ยอมให้ใครเห็น จะเข้มแข็งอย่างที่แม่เป็น ลูกต้องขยันเพื่อวันที่มีแต่คนชื่นชมยินดีกับความสำเร็จ
.
.
.
เวลาผ่านไปอายุแม่มากขึ้น สังขารพาแม่ไปไกล จนใจหาย ร่างกายแม่เปลี่ยนไปตามเวลา ผมขาวโพลนทั้งหัว หน้าตาดำคล้ำเพราะกรำแดดดูแลแผงผลไม้ที่ตลาด ลูกๆ ไม่มีใครอยากให้แม่ทำงาน มีแต่ลูกชายคนโตที่อ้างเหตุการณ์บังคับให้แม่ต้องทำ เพราะพี่ไม่มีคนช่วย พี่สะใภ้ต้องเลี้ยงลูกอ่อน 2 คน ที่วัยไล่เลี่ยกัน ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว ฉันกล้ำกลืนที่ต้องเห็นแม่ลำบาก แต่แม่ก็มักปฏิเสธ เวลาลูก ๆ ทักท้วง

“โอ้ย ไม่ลำบากหรอก ก็แค่เก็บสตางค์ อย่างอื่นก็ให้ลูกจ้างมันทำไป” แม่ขยัน แม่เก่ง แต่แม่เหนื่อย แม่ต้องพักแล้ว ผ่านไปหลายปี แม่ใช้เหล้าเป็นยา “กูกินให้มันกินข้าวได้ ไม่ได้เมามายอะไร กินแล้วกูแข็งแรงดีออก” แม่อธิบายเหตุผลให้ลูกฟังเสมอ แล้ววันนี้แม่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร …..

ฉันฟุ้งซ่านไปไกล กลัว กลัวกับสิ่งที่คาดไม่ถึง “โทรกลับบ้านถามความคืบหน้าก่อนดีกว่า”

“เจ๊เหรอ แม่เป็นยังไงบ้าง”

“ยังอยู่กรุงเทพฯ อีกหรือ” เสียงพี่สาวคนรองแผดมาตามสาย ฉันรู้สึกน้อยใจเหลือเกินที่เค้าคิดว่าฉันไม่ใส่ใจ ไม่กระตือรือร้น กลับบ้าน

“ก็พึ่งรู้เมื่อตะกี้ จะให้เหาะไปรึไงกัน ตอนนี้อยากรู้ว่าแม่เป็นยังไงบ้าง”

“ออกจากห้อง ไอซียู แล้ว นอนอยู่ห้องรวม”

“ทำไมไม่ให้แม่อยู่ห้องเดี่ยวล่ะ”

“ไม่มีคนเฝ้า”

“ก็ฉันไง จะกลับไปเฝ้าเอง”

” เออ ๆรีบกลับมาก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที” ฉันวางหูโทรศัพท์อย่างหัวเสีย รีบเดินไปซื้อตั๋วรถทัวร์

เคว้งคว้างใจเจ้าเอย กำลังใจไปไหนหนอ ตามหาไม่เจอเลย พรุ่งนี้กลับใช่มั้ย กลับมาเร็ว ๆ นะ ใจฉันเกินจะทานแล้ว ฉันโมโหพี่สาวซะลืมถามว่าอยู่ตึกอะไร ห้องไหน พอถึงตัวเมือง โทรศัพท์สาธารณะว่างพอดี …

“แม่นอนให้น้ำเกลืออยู่ห้อง 206 ตึกเมธา” พี่สาวคนก่อนฉันบอกอย่างดีใจที่ฉันกลับมาถึงแล้ว

.
.
.
ลมทะเลพัดปะทะหน้า เสื้อผ้า เส้นผมปลิวลู่แนบตัวไปข้างหลัง กรุงเทพฯกับที่นี่ต่างกันลับ รพ.ที่นี่สร้างติดกับทะเล ลมทะเลสร้างบรรยากาศให้สดชื่น สีของท้องฟ้า กับสีน้ำทะเลวันนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกันเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เห็นทะเล ได้ยินเสียงคลื่น ก็รู้สึกดี แต่วันนี้ ใจมันหม่น สีทะเลวันนี้ก็เลยดูหมองกว่าท้องฟ้า ฉันเดินเลียบตึกสลับกับเลียบทะเลไปเรื่อย ๆ อดทน อดกลั้นกับเหตุการณ์ข้างหน้า ตัวเริ่มเหนียว เหนอะหนะ

เหนอะหนะ จนถึงห้อง 206 ฉันจับลูก บิดประตู แต่ยังไม่เปิด ยืนนิ่งเพื่อทำใจรับกับเหตุการณ์ ใจพร้อมแล้วฉันจึงเข้าไป เห็นแม่นอนหลับให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง หน้าตาดำคล้ำเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ ความแห้งของหน้า เนื้อที่แก้มของแม่เหี่ยวย่นลงมา ทำให้แก้มตอบลง หัวคิ้วขมวดหดหู่อย่างคนมีกังวล พี่สาว พี่เขย พี่สะใภ้ หลานหญิง ชาย ยกเว้นพี่ชาย นั่งกันเต็มห้อง น่าใจหายมั้ยล่ะ จากคนที่พูดมาก มีกำลังวังชา ดุคนโน้นที ว่าคนนั้นที ต้องมานอนเงียบไร้พิษสง ถ้าแม่ลุกขึ้นมาด่ายังดีกว่านอนหมดพลังอย่างนี้ อยากเห็นความกระฉับกระเฉง เสียงดังโวยวาย ตอนนี้ฉันอยากได้ยินเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่น่ารำคาญอีกต่อไป ทุกคนลุ้น อยากให้แม่เป็นอย่างเดิม

“หมอบอกว่าแม่กินเหล้ามากไปเลยช็อก” พี่สะใภ้เริ่มถ่ายทอดเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“แล้วใครปล่อยให้แม่กินเหล้าจนเป็นมากขนาดนี้” ฉันย้อนถามด้วยเสียงห้วนสั้น

” ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าใครห้ามได้ที่ไหน” แม่หลับอยู่ฉันเลยไม่อยากระเบิดอารมณ์มากกว่านี้ ฉันโทษพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่ในใจ แม่ต้องมีเรื่องกลุ้มใจ ถึงต้องพึ่งเหล้า และเรื่องที่กลุ้มก็คงเป็นเพราะพี่ชายเอาเรื่องนั้น เรื่องนี้มาเล่า แล้วมักให้แม่ช่วยคิด ช่วยตัดสินใจเสมอ ฉันอยากให้ แม่มีชีวิตเหมือนคนเฒ่าคนแก่ทั่ว ๆ ไป ที่ลูกหลานพอมีอันจะกินคอยดูแล เช้ามาก็ ทำบุญตักบาตร สาย ๆ ก็ปลูกต้นไม้ ว่างมาก ๆ ก็เล่นกับหลานเหนื่อยแล้วก็พักไม่ใช่ให้เลี้ยงหลานเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่พี่สะใภ้ให้ทำ ฉันแค้นใจที่ไม่สามารถให้แม่เป็นอย่างที่ฉันคิดหรือคัดค้านอะไรได้เลย เพราะแม่รักลูกชายของแม่มาก ฉันเงียบไปสักพัก จนแม่รู้สึกตัว

“แม่เป็นยังไงบ้าง ค่อยยังชั่วหรือยัง แม่นอนตะแคงมาทางฉันอย่างเศร้าซึม เราพึ่งพบกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองนะ ทำไมเปลี่ยนไปถนัดตา ตาแม่เคว้งคว้างพอกับใจฉันเลย

“ดีขึ้น” แม่ค่อย ๆ ตอบเหมือนเหนื่อย แต่อีกสักพักแม่ก็เริ่มถามถึงคนโน้น คนนี้ ความห่วงของแม่มีให้ลูกหลานเสมอ แต่แม่ไม่เคยห่วงตัวเองเลย เคยขอร้องแม่หลายครั้งแล้วว่าอย่ากินเหล้าอีก ลูกทุกคนยอมอ่อนให้แม่เพราะขัดแม่ไม่ได้

“กูจะกินใครจะทำไม ไม่เห็นมีใครซื้อให้กูกิน มีแต่ห้าม เงินก็เงินกู” แต่ก็ขอให้แม่เพลาลงหน่อยให้กินเป็นกระสัยตามที่แม่บอก ไม่ใช่เมาพับหมดสติอย่างนี้ ทุกข์ คำนี้มันสุมอยู่ในใจกับเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เพราะกลัวและหวาดระแวงว่าวันนี้จะมาถึง

“หมอสั่งห้ามนะครับ อย่ากินเหล้าอีก เพราะถ้าช็อกอีกครั้งอาจทำให้เป็นอัมพาตได้” คุณหมอเจ้าของไข้เตือนอย่างสุภาพ

มันรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ แล้วแม่จะหยุดมันได้หรือ ทุกข์ คำนี้มันตามรังความฉันอีกแล้ว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้อะไร ๆ ดีขึ้น ฉันจะขอร้องแม่อีกครั้ง……
.
.
.
ทุกคนกลับหมดแล้ว พี่ ๆ เต็มใจเอาของที่ฉันต้องการมาให้วันพรุ่งนี้ ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน สบู่ รองเท้าแตะ ฯ หลายปีมานี้ฉันโตขึ้นมากในด้านความคิด จากลูกคนเล็กที่มองพี่แต่ละคนรับภาระ และก็เก็บเอามาคิดถึงในความเหนื่อยล้าของแต่ละคน

ฉันชอบอ่านแววตาคนเพราะมันบอกความรู้สึกได้จริง ๆ ตอนนี้ฉันรู้จากแววตาพี่ ๆ ว่าฉันพอจะเป็นที่พึ่งของเขาได้บ้างแล้ว ฉันนอนที่โรงพยาบาลคนเดียว ดูแลแม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็คงเป็นหน้าที่ของพี่สาวคนที่สอง ฉันดีใจที่ฉันทำให้เค้ารู้สึกอย่างนี้ได้ และฉันก็เต็มใจทำเพราะตอนนี้ฉันไม่เหลือใครที่เป็นที่พึ่งทางใจ นอกจากแม่คนเดียว พ่อไปสบายแล้ว พ่อไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราไปแต่พ่ออยู่กับครอบครัวนี้มานานแล้ว พ่อเหนื่อย เราร่วมกันเป็นครอบครัว เราอยู่กันอย่างเหน็ดเหนื่อย เราล้ากันมามากพอแล้ว และมันถึงเวลาที่พ่อจะพักแล้วด้วย ทุกอย่างมันตกตะกอนนอนนิ่งอยู่ในใจฉัน บางวันฉันก็กวนมันขึ้นมานึกถึงภาพวันเก่า ๆ ที่เราเป็นครอบครัว

เราเป็นครอบครัวใหญ่มีสมาชิกถึง 10 คน แปลกไหมในบางความรู้สึกเหมือนมีฉันอยู่คนเดียวในบ้านหรืออาจเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เล่าความฝันให้กันและกันฟังเลย ฉันฝันอยากจะมีครอบครัวที่อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ ทุกข์เราก็หัวเราะได้ สุขเราก็ยิ่งหัวเราะให้มันดังขึ้นไปอีก หน้าเราจะไม่เป็นทุกข์ ตาเราจะเปล่งประกายบอกถึงความสุขและภูมิใจกับครอบครัวของเรา แต่มันก็เป็นแค่ฝัน เราจะไม่โทษกัน จะไม่โทษแม่ที่พูดจาไม่เพราะ ไม่รู้จักความอ่อนโยน พูดอะไรก็พูดตรง ๆ โวยวายเสียงดัง ไม่เคยมองคนในแง่ดีก่อน จะไม่โทษพ่อที่อารมณ์ร้อน รุนแรง ทำร้ายคนในครอบครัวเพื่อระบายอารมณ์โดยเฉพาะทำร้ายแม่ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพ่อมา จะไม่โทษพี่ ๆ ที่หมั่นไส้ฉันเวลาพ่อกับแม่เอาใจมากกว่าใครเพราะเป็นลูกคนเล็ก ในหมู่พี่น้องเราก็เลยพาลไม่สนิทกันเลย อายุเราก็ห่างกันมากด้วย และฉันก็จะไม่โทษตัวเองที่เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ขี้ใจน้อย ไม่ค่อยพูดกับใครเวลาอยู่ในบ้าน สนิทกับเพื่อนมากกว่าคนในครอบครัว จะไม่มีใครโทษใคร เพราะต่างก็รู้ว่าทุกคนในครอบครัวของเราต่างถูกกระทบจนไม่มีใครมีใจปกติซักคน

ครอบครัวเราไม่ได้แตกแยกเพราะมือที่สาม พ่อซื่อสัตย์กับแม่คนเดียว ไม่ได้เล่นการพนัน ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่พ่อทำอะไรไม่ค่อยเด็ดขาด ไม่มีบุคคลิกความเป็นผู้นำ แม่มีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยว ใจแข็ง มันผสมมากับกริยาที่กระด้างของแม่ เพราะแม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจปัญหาหนัก ๆ เฉพาะหน้าเสมอ ทำให้แม่ต้องห้าวหาญให้ทุกคนรู้ด้วยน้ำเสียง คำพูด ทุกอย่างสงบเรียบร้อยเพราะฝีมือแม่ แล้วจะโทษแม่ได้ยังไงว่าทำไมแม่ไม่เป็นแม่ที่พูดจาไพเราะอ่อนหวาน จ๊ะๆ จ๋าๆแม่จึงเป็นผู้นำครอบครัวแทนพ่อ เรื่องทุกเรื่องผ่านการตัดสินใจจากแม่ พ่อกับแม่พูดกันน้อยลงแต่ทะเลาะกันมากขึ้นถือได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวัน และพ่อก็จากไปอยู่ที่จังหวัดอื่นพร้อมกับพี่อีก 2 คนไปช่วยกันขายของทำมาหากิน แม่ดีใจที่ถึงวันแยกทางสักที แต่แม่ก็เป็นแม่ทั่วไปที่ยังคิดถึงลูก แม่พาฉันไปเยี่ยมพ่อกับพี่ถึงบ้าน แต่ก็เจอเหตุการณ์กระทบกระทั่งรุนแรงแม่วิ่งหนีพ่อที่จะเข้ามาทำร้ายแทบไม่ทัน ฉันวิ่งตาม ด้วยความเป็นเด็กที่อาจไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรมากนักแต่ฉันก็หดหู่กับบรรยากาศที่ซ้ำซากจำเจ

พ่อกับพี่แยกไปอยู่กันตามลำพัง 2 ปี แล้ว และก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง บ้านเงียบได้สักพักแล้วก็เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งของแม่ก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉันไม่เคยเห็นน้ำตา หรือกริยาที่ท้อแท้ ถดถอยของแม่เลย จนพ่อป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลเป็นแรมเดือนแม่ไม่เคยไปเยี่ยมสักหนเลย แต่ก็เหมือนพ่อนอนรอแม่อยู่เพราะวันที่แม่ไปหาพ่อที่โรงพยาบาลเพื่อจะบอกพ่อว่าพยายามหายไว ๆ เพราะเปลืองเวลา เปลืองยา เปลืองค่ารักษาของลูก หลังจากที่แม่กลับไปแล้ว พ่อก็จากไปในวันนั้นเลย พ่อไปเงียบ ๆ คนเดียวไม่ได้บอกลาใครเลยสักคนพ่ออาจจะรอเห็นหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อสมหวังแล้วก็คงไม่อยากอยู่เป็นภาระของใคร เพราะโรคไตมันทรมานและก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก แม่เองก็ไม่มีน้ำตาให้พ่อสักหยด ไม่มีเลยจริง ๆ ไม่มีการแอบร้อง แม่เข้มแข็งเกินกว่าที่ฉันคิด จะให้เชื่อได้ยังไงคนอยู่กินกันมา 40 กว่าปี จะไม่มีความอาลัย อาวรณ์กันเลยหรือ และนี่มันเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องจากกันชั่วชีวิต หรือพ่อทำให้แม่ทุกข์ใจถึงกับไม่ทำให้แม่สะเทือนใจกับการจากลาครั้งนี้เลย ฉันเกือบโทษแม่ว่าแม่ใจดำเกินไปแล้วถ้าฉันไม่ได้ยินแม่พูดกับพ่อ วันนั้นเป็นงานศพพ่อวันที่สาม แม่กรวดน้ำให้พ่อ

ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ แอบฟังแม่พูดให้อภัยพ่อ เล่าถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมา จนถึงเรื่องลูก ๆ ทุกคน สุดท้ายแม่บอกให้พ่อหลับให้เป็นสุขเพราะไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว ฉันเห็นภาพพร่าเลือนอยู่ตรงหน้าน้ำตามันเอ่ออยู่ที่ตาฉันไม่ใช่ตาแม่อย่างที่ควรจะเป็น อยากขอบคุณที่แม่ให้ฉันได้เห็นความอ่อนโยน แม่ซ่อนมันไว้เกือบตลอดชีวิต แค่คำพูดเรียบ ๆ ของแม่ กับน้ำเสียงที่เข้มแข็งและจริงใจก็ทำให้ฉันแอบยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตัน แม่พูดดี ๆ กับพ่อแล้ว แม่อภัยให้พ่อแล้ว ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้เองที่ครอบครัวของเราอบอุ่นขึ้น
.
.
.
ฉันกวนตะกอนในใจจนขุ่นหมดแล้ว แม่ยังไม่หลับ ฉันก็ยังไม่ง่วง จะหาผ้าขนหนูซักผืนเช็ดตัวให้แม่ยังไม่มีเลย สี่ทุ่มครึ่งแล้ว ร้านคงปิดหมดแล้ว ฉันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในกระเป๋าเสื้อผ้า “เช็ดตัวหน่อยมั้ย จะได้นอนสบาย” แม่พยักหน้า ฉันไม่ถนัดในการดูแลคนไข้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ ฉันทำด้วยความรู้สึกรักและห่วงใย ทำให้หยิบจับกระป๋องฉี่ กระป๋องอึอย่างไม่รังเกียจ ตื้นตันที่ได้มีโอกาสรับใช้ มันเทียบกันไม่ได้เลยกับเวลาที่แม่เคยเลี้ยงดูลูก ๆ

แม่อดทนและลำบากมากเหลือเกิน กว่าลูก ๆ จะโตขึ้นมาแต่ละปี ตอนกลางคืนแม่เรียกฉันให้พยุงนั่งบนกระโถนฉี่ประมาณ 3-5 นาทีต่อครั้ง ฉันไม่รู้สึกหงุดหงิด ถึงหน้าตาจะเบลอเพราะง่วงนอนแต่ก็มีสติยิ้มให้แม่ เพื่อให้รู้ว่าฉันเต็มใจและไม่เป็นการรบกวนเลย แม่กังวลใจที่ฉี่บ่อยเพราะไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

ฉันเลยไปบอกพยาบาล “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำเกลือทำให้ฉี่บ่อย คุณยายอย่าทานข้าวทานน้ำนะค่ะ พรุ่งนี้เช้าจะเจาะเลือดเช็คน้ำตาลค่ะ”

หดหู่อีกแล้วมันวนเวียนมาพร้อมกับกลิ่นยาที่มีอยู่ทั่วห้อง ยังโชคดีที่ห้องนี้อยู่ชิดทะเล และเป็นห้องเดียวที่มีระเบียงยื่นยาวจนเห็นทะเลชัดเจน สามารถเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด กลับมานอนฟังเสียงคลื่นหยอกล้อกับทะเลจนหลับ ตื่นขื้นมาอีกทีได้ยินเสียงแม่เรียกจะฉี่อีกแล้ว กำลังได้ที่อยู่พอดี แม่นอนไม่หลับเลยเพราะปวดท้องฉี่ ฉี่กระปริกระปรอยแทบไม่เห็นน้ำ แม่คงจะเรียกอีกหลายรอบ อ่านหนังสือที่เอามาดีกว่า ฉันนึกในใจ แต่ตามันก็ปรือเหลือเกิน สะดุ้งตื่นอีกครั้ง

“หิวน้ำ” เสียงแม่ร้องขึ้นมา

“หมอห้ามกินน้ำจนถึงเช้าเลยนะ” ฉันมองแม่ด้วยความสงสารน้ำก็ยังกินไม่ได้

“เอางี้แล้วกันให้แม่อมน้ำกลั้วปาก ห้ามกลืนนะ สักพักค่อยบ้วนทิ้ง ปากจะได้หายแห้ง ดีมั้ย” แม่ทำอย่างที่ฉันเสนออย่างว่าง่าย แล้วแม่ก็หลับสลับกับฉี่ ฉันเอากระโถนฉี่ไปล้างและกดชักโครกไปแล้วไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ จนครั้งสุดท้ายประมาณตีสามครึ่ง แม่ก็ให้ฉันเอากระโถนฉี่ไว้ที่ปลายเตียง จะได้ฉี่เองได้แล้วตอนเช้าค่อยล้างที่เดียวเพราะฉี่ไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว แต่ฉันก็บอกให้แม่ปลุกเรียกเวลาจะลุกขึ้นนั่งบนกระโถนเพราะแม่ยังไม่แข็งแรง

หนังสือกางทับอยู่บนอก ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่เผลอหลับยาว สงสัยแม่เรียกก็คงไม่ได้ยิน ได้ยินแต่เสียงคลื่นกระซิบดังบ้างเบาบ้างจนเคลิ้มหลับ เห็นแม่ลุกขึ้นนั่งอยู่แล้ว

“ยังฉี่บ่อยอยู่หรือเปล่า” ฉันถามเหมือนรู้สึกผิด

“ฉี่ทั้งคืนนะแหละ เห็นหลับสบายเลยไม่เรียก”

“อ้าวแล้วลุกขึ้นนั่งถนัดหรือ” ฉันถามอย่างละอายใจ

“ก็ยังไหวอยู่”

“โธ่ ทีหลังแม่ก็เรียกสิ หนูมาดูแม่นะถ้าหัวทิ่มลงมาว่าไง”

“กูไม่ซุ่มซ่ามเหมือนมึงหรอกน่า” เห็นแม่เริ่มมีฤทธิ์ฉันเริ่มใจชื้น ลุกหยิบกระโถนฉี่ เทฉี่ใส่ขวดเล็กที่พยาบาลเตรียมไว้ให้ลงพอดีขวดเก็บไว้ให้หมอตรวจน้ำตาล ฉันมองไปข้างนอกอากาศเวลา 6 โมงเช้า ที่นี่ไม่มืดไม่สว่างจนเกินไป น่าจะพาแม่ออกไปเดินเล่นตรงชาน

“แม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกกัน” ฉันชี้ไปข้างนอกชาน

“ไม่เอาล่ะ สายยางมันเกะกะ เดินยาก”

“จะยากอะไร หนูถือให้ได้” ฉันลุกขึ้นยกเสาน้ำเกลือให้แม่เดินตาม “แกว่งแขวนแรง ๆ นะ สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เต็มปอดเลย แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ นั่นแหละ ๆ ดีมาก”

สภาพที่ผ่อนคลายของแม่ทำให้ฉันรู้สึกดี “แกว่งแขนเก่งซะด้วย” ฉันทำเสียงหยอกล้อ แม่มองทะเลนิ่ง ๆอยากรู้จังว่าแม่มองมันสวยงามอย่างที่ฉันรู้สึกรึเปล่า เราเงียบอยู่นาน ฉันพอเข้าใจว่าช่องว่างระหว่างเรามันกว้างมากจนไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร เวลานี้น่าจะหาเรื่องเบา ๆ มาคุยดีกว่าเพราะที่ผ่านมาชีวิตแม่มีแต่เรื่องหนัก ๆ
ๆ ฉั นนึกออกอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้แม่เคยเล่าให้ฉันฟังตั้งหลายปีมาแล้ว ถ้าแม่ได้ฟังอีกครั้งคงจะปลุกวัยเด็กของแม่ให้มีชีวิตอีกครั้ง หรือจะทำให้แม่หดหู่กว่าที่เป็นอยู่ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้วนี่นา ลองดูแล้วกัน แม่ฟังฉันเล่าจนถึงท่อนสุดท้าย ตอนที่แม่เอากุญแจของเพื่อนซ่อนไว้ในกระเป๋าแล้วเพื่อนแม่ทวงอย่างเอาเป็นเอาตาย

“มึงเอากุญแจกูไปซ่อนไว้ไหน คืนกูมานะแม่ตีกูตายแน่ ถ้ามึงไม่รีบคืนกู”

“กูไม่ได้เอาไป” แม่ตอบเสียงแข็ง

“โกหกถ้าอยู่ที่มึงกูจะผลักลงน้ำเลย”

เขาประชิดตัวแม่ แม่ถอยหลังไปเรื่อยจนหลังติดกับศาลาริมน้ำแล้วแม่ก็ค่อย ๆ แอบหย่อนลงน้ำไป ดัง จ๋อม ! พร้อมกับแกล้งพูดกลบเสียง

“กูจะเอาไปทำไม ไม่ใช่ของกู” แม่ยอมให้ค้นตัว เพื่อนแม่หากุญแจไม่เจอแน่ ๆแล้ว จึงนั่งร้องไห้ฟูมฟาย เสียงดัง คร่ำครวญ “ถ้ากูไม่มีกุญแจกลับไปเปิดบ้าน กูโดนแม่เลี้ยงกูตบตายคามือแน่” พูดจบก็นั่งหลบมุมร้องไห้อย่างน่าสงสาร

แม่ก็เริ่มรู้สึกผิด แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าโยนทิ้งน้ำไปแล้วเพราะกลัวถูกผลักตกน้ำ จนในที่สุดเพื่อนแม่ก็เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นจากไป แม่บอกฉันว่า กลัวเพื่อนแม่จะฆ่าตัวตายเพราะตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ไม่ได้เจอเพื่อนแม่คนนั้นอีกเลย และอีกไม่นานครอบครัวแม่ก็ย้ายจากที่นั่นเหมือนกัน “เป็นไงแม่ หนูเล่าได้เป๊ะมั้ย” แม่อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับแกว่งแขนช้าลง ไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร วัยเด็กของแม่คงตื่นกระเจิงให้แม่ต้องคิดเรื่องสนุกอีกหลายเรื่องแน่ ๆถึงได้มีรอยยิ้มบางๆ ให้ฉันเห็น
.
.
.
หลังจากที่เจาะเลือดเรียบร้อย แม่ก็กินข้าวได้ พี่ ๆ มาพร้อมกับปลาช่อนนึ่งเค็ม อาหารโปรดอันดับหนึ่งของแม่แต่วันนี้แม่กินน้อยมาก ฉันพยายามคะยั้นคะยอ แต่อิ่มของแม่ก็คืออิ่ม หมอเอาสายน้ำเกลือออกแล้วทำให้ลูก ๆ สบายใจขึ้น แม่พยายามนอนให้หลับในตอนกลางวันแต่ก็นอนไม่ได้มากเพราะผิดที่และอาการ ฉี่กระปริกระปรอยก็ยังอยู่ ทั้งวันจนถึงเย็นฉันมีเสียงคลื่นเป็นเพื่อน ทะเลเริ่มงดงามสะอาดตาเพราะความหดหู่กำลังจางหายไป แต่ก็หายไปไม่นานมันก็กลับมารังควานอีก เมื่อพี่ชายคนโตกลับมาเยี่ยมแม่ มันน่าจะเป็นเรื่องดีแต่กลับทำให้ฉันหงุดหงิดเพราะพี่เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาฟ้องแม่เหมือนเด็ก ๆ อีกแล้ว ความอดทนของฉันจึงสิ้นสุด ฉั นโวยวายจนตัวเกร็ง

“ถ้ากูไม่เล่าให้แม่ที่เป็นผู้ใหญ่ฟัง แล้วจะให้กูเล่าให้ใครฟัง” พี่ชายหันมาพูดและชักสีหน้าถมึงทึงใส่

“กูไม่ได้บอกว่าไม่ให้มึงเล่าให้แม่ฟัง แต่มึงรู้จักกาลเทศะซะบ้างสิ ตอนนี้แม่ป่วยอยู่ให้เค้าสบายหูบ้างเถอะ กูขอร้อง” พี่ชายฉันเงียบไปถนัด

ฉันเดินออกไปที่ระเบียง ระบายลมหายใจอย่างช้า ๆ เพื่อผ่อนคลาย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งทำให้ฉันไม่อยากอยู่บ้าน

ความสงบกลับมาอีกครั้ง

ฉันเดินไปที่เตียงแม่ ใช้มือลูบผมแม่อย่างแผ่วความสงบกลับมาอีกครั้ง เบา “แม่เลิกเหล้าซะนะ อย่ากินมันอีก ขอร้อง หนูอยากให้แม่อยู่กับหนูนาน ๆ หนูไม่มีใครแล้ว แม่รู้มั้ย เวลาหนูกลับมาที่บ้าน นั่นคือหนูกลับมาหาแม่ ถ้าไม่มีแม่หนูจะกลับมาหาใคร ชีวิตหนูไม่มีใครอีกแล้วนะ” ฉันกุมมือแม่ไว้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“แม่ต้องเลิกมันได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา ปกติ เพื่อให้เป็นธรรมชาติที่สุด มันนานมาแล้วกับการที่ได้คลุกคลี ออดอ้อนแม่ การที่จะต้องทำกริยาใกล้ชิด สนิทสนมจึงมีความแข็งกระด้างแฝงเร้นอยู่ ไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร แต่แม่ก็พยักหน้าให้ฉันอุ่นใจ แม่กับฉันก็อาจมีความรู้สึกเดียวกัน มันเป็นภาษาทางความรู้สึกในใจโดยแท้ ไม่ต้องมีคำพูดอะไรอีกแล้ว ความผูกพัน ความห่วงใยเป็นตัวเชื่อมประสานได้ดีที่สุด และเรื่องราวต่าง ๆ จะดำเนินไปได้ดีด้วยตัวของมันเอง
.
.
.
เรื่องราวเก่า ๆ หมุนเวียนกลับไปมาในสมองของฉันเสมอ แม้ตอนนี้อายุฉันจะห้าสิบห้าแล้วก็ตาม แต่ภาพบางภาพมันแจ่มกระจ่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน มันอบอุ่นและอิ่มเอิบ น้ำตาแห่งความรักและโหยหามักจะมาเยี่ยมเยียนให้หวนระลึกถึงแม่เสมอ ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แววตาที่ซ่อนเร้นความอ่อนโยนกับรอยยิ้มบาง ๆ ของแม่ยังคอยเป็นกำลังใจให้ฉันอยู่ไม่ห่าง แม่ จึงเป็น “ยอดหญิงแห่งใจ” ของฉันตลอดกาล