สภาพของห้องเรียนในเช้าวันจันทร์นี้ก็เหมือนกับทุกๆ เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา และกิจกรรมของผมก็ยังเหมือนเดิมคือ นั่งลอกการบ้านอยู่ที่ยกพื้นหน้ากระดานดำซึ่งมีสมุดการบ้านของเพื่อนๆ ในชั้น ม.4/5 วางส่งอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่เป็นอย่างนี้ ยังคงมี “พรรคพวก” ที่เป็นแบบผมอีกเกือบสิบคน หรือในบางครั้งก็มากกว่าสิบคนที่มีพฤติกรรมเดียวกัน แม้ว่าหัวหน้าห้องจะเร่งให้พวกเราส่งเพราะเขามีหน้าที่ต้องนำสมุดเหล่านี้ไปส่งคุณครูแต่ละท่านยังห้องพักครูก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เคยนำสมุดการบ้านไปส่งได้ก่อนเสียงสัญญาณบอกให้เข้าแถวเคารพธงชาติแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ใช่ว่าผมและเพื่อนๆ ที่มานั่งลอกการบ้านตอนเช้าจะทำการบ้านถูกเหมือนเพื่อนๆ ที่เขาทำเสร็จมาจากบ้านนะครับ ตรงกันข้ามก็ยังผิดเหมือนเคยและผิดเหมือนๆ กันจนครูผู้สอนรู้นั่นแหละครับว่าลอกกันมา เพราะว่าคนที่ให้ลอกก็มีอยู่ไม่กี่คน และเป็นคนที่ไม่ได้เรียนเก่งอะไรนักด้วย พวกที่เรียนเก่งน่ะหรือครับ เขารู้แกวพวกผมหมดแหละว่าต้องมาหยิบการบ้านไปลอกถ้าเขาวางส่งงานไว้แต่เช้า เพราะฉะนั้นเขาก็จะส่งเวลาใกล้เคารพธงชาตินั่นแหละ และก็เป็นธรรมดาที่ว่าพวกผมจะต้องไม่ชอบใจพวกที่เรียนเก่ง และพวกที่เรียนเก่งเหล่านั้นเขาก็ไม่ชอบใจพวกที่เรียนไม่เก่งอย่างผมเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ให้การบ้านลอกแล้วผมจะไม่ชอบเขานะครับ มันหลายเรื่องด้วยกัน แต่สรุปได้ว่าพวกที่เรียนไม่เก่งอย่างผมเห็นพวกที่เรียนเก่งหรือที่เรียกกันว่า “เด็กเรียน” นี้เป็นคนแล้งน้ำใจ ที่โรงเรียนอื่นหรือห้องอื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่ที่ห้องเรียนของผมนี้ พวกเด็กเรียนเขาแข่งกันเรียน มีอะไรก็ไม่แบ่งปันกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แบ่งไม่ได้เลยคือความรู้ พอพวกผมจะถามอะไรเขาเกี่ยวกับการเรียนสิ่งที่ได้รับมาก็คือสีหน้ารำคาญ หรือคำตอบที่เย็นชาว่าไม่รู้ ทั้งๆ ที่สอบที่ไรเด็กเรียนเหล่านี้ก็ได้คะแนนเกือบเต็มทุกที ความรู้สึกของผมต่อเด็กที่เรียนเก่งจึงติดลบมาตลอด และรู้สึกว่ายิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอเสียด้วย วันนี้คุณครูพาเด็กนักเรียนคนใหม่ซึ่งย้ายเข้ามาช่วงกลางเทอมเนื่องจากย้ายตามพ่อของเข้าเป็นข้าราชการตำแหน่งอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าใหญ่โตพอสมควร ผมก็ไม่ได้สนใจฟังเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้าหมอนี่ตั้งแต่แรกเห็น เพราะ หน้าตาของนายคนนี้เป็นหน้าตาที่บ่งบอกลักษณะของเด็กเรียนโดยแท้ เขาเป็นลูกคนจีน ผิวขาว ผอมสูง ใส่แว่นตาหน้าเตอะ ตัดผมสั้น แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย ถูกระเบียบทุกอย่าง แม้จะท่าทางเงียบๆ หงอๆ แต่ผมก็รู้สึกไม่ชอบอยู่ดี คุณครูสั่งให้เขามานั่งข้างผม ซึ่งนั่งอยู่ท้ายสุดของห้อง
” วินัยไปนั่งข้างประชาที่นั่งอยู่ท้ายสุด แถวสองนั่นแหละจ๊ะ มีที่ว่างเหลืออีกที่พอดี เธอเองก็ตัวสูงด้วยจะได้ไม่บังเพื่อน”
” นายคงเสียดายแย่ที่ไม่ได้นั่งข้างหน้า พวกเด็กเรียนเขาแย่งกันนั่งข้างหน้าทั้งนั้น กลัวได้ความรู้น้อยกว่าคนอื่น ต้องมานั่งข้างหลังอย่างนี้เห็นทีจะลำบากหน่อย ปีนี้ไม่มีทางสอบได้ที่ 1 หรอก” ผมถือโอกาสขู่เขาในสิ่งที่คิดเด็กเรียนกลัวมากที่สุด ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร แต่เขากลับตอบผมอย่างสุภาพและเป็นมิตร เหมือนไม่รู้ว่าผมกำลังหาเรื่องว่า
” ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าตั้งใจเรียน นั่งที่ไหนก็รู้เรื่องเหมือนกัน ไม่แน่เราสองคนอาจสอบได้ดีกว่าคนที่นั่งข้างหน้าก็ได้” และดูเหมือนเขาก็จะเป็นอย่างที่บอกผมจริงๆ คือตั้งใจเรียนอย่างมาก มีสมาธิในการเรียนแม้ว่าผมและเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่แถวหลังจะคุยกันบ้าง แอบกินขนมบ้าง ส่งจดหมายที่เขียนนินทาคนโน้นคนนี้ผ่านหน้าเขาบ้าง เขาก็ยังเรียนรู้เรื่อง ตอบคำถามของครูได้อย่างฉาดฉานและถูกต้อง แถมไม่เคยนึกรำคาญหรือดุพวกเด็กที่ไม่รักเรียนอย่างพวกผมเหมือนเด็กเรียนคนอื่นๆ ที่มักทนไม่ได้เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ หลายคนที่เคยนั่งกับผมต้องขอย้ายโต๊ะไปนั่งที่อื่น แต่วินัยกลับไม่เป็นอย่างนั้น แต่ใช่ว่าเมื่อเขาเป็นอย่างนี้แล้วผมจะชอบเขานะครับ ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกแค้นและเสียหน้ามากกว่าที่ไม่สามารถแกล้งเด็กเรียนอย่างเขาได้ เมื่อแกล้งเขาเรื่องการเรียนไม่สำเร็จ พวกผมจึงหาทางแกล้งเขาด้วยกำลังแทน
ในตอนกลางวันเมื่อวินัยกินอาหารมื้อกลางวันที่โรงอาหารของโรงเรียนแล้ว วินัยจะตรงเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดเสมอ ส่วนผมกับเพื่อนของผมก็จะจับกลุ่มกันเล่นฟุตบอลที่สนาม ซึ่งอยู่หน้าห้องสมุด ผมวางแผนกับเพื่อนๆ ไว้ว่าถ้าวินัยเดินออกจากห้องสมุดมาก็จะให้คนที่เตะบอลแม่นที่สุดก็คือผม เตะอัดท้องเขาให้เจ็บหรือล้มลงไปเลย แล้วเวลาที่รอคอยมาถึง เมื่อวินัยเดินออกมาจากห้องสมุด เพื่อนผมให้สัญญาณ ผมวิ่งมาเตะบอลอย่างแรง แต่ลูกบอลโด่งขึ้นสูง ลูกบอลตรงไปที่วินัยซึ่งยืนนิ่งอยู่ แต่ลูกบอลโด่งเกินเป้าหมายขึ้นไปถูกดั้งจมูกของวินัยอย่างแรง วินัยผงะล้มลงเสียงดังโครม เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากจมูก พวกผมมองหน้ากันอย่างตกใจ วินัยเจ็บมากกว่าที่พวกผมคิด พวกผมแค่อยากแกล้งให้เขาเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงกับเลือดตกยางออก ผมวิ่งไปดูและพยุงเขาไปยังห้องพยาบาล หน้าเขาซีดเผือด แต่ยังยิ้มให้ผมจนผมรู้สึกละอาย
“ขอบใจนะ ประชา” เขาบอกผมเมื่อเดินออกจากห้องพยาบาลด้วยกัน
“เรื่องอะไร” ผมรู้สึกงง ผมแกล้งเขาแท้ๆ แต่ได้รับคำขอบใจ
“ก็นายพาเราไปห้องพยาบาล”
“ก็เราเป็นคนเตะบอลไปถูกนายนี่ เราควรจะเป็นคนขอโทษนายถึงจะถูก”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็นายไม่ได้ตั้งใจนี่”
“แล้วถ้าเรา…ตั้งใจล่ะ” ผมตัดสินใจบอกเขาออกไป เขาอึ้งไป หันมามองหน้าผมอย่าง งงงวย
“ทำไม”
“ก็เราไม่ชอบหน้านาย” ผมบอกเขาไปตามความจริง แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกันไปจนเดินเกือบถึงห้องเรียน ช่วงเวลาที่เงียบกันไปนั้น ผมรู้สึกผิดอย่างมาก ผมจึงถามเขาก่อนที่จะเดินเข้าห้องเรียนว่า
“นายโกรธเรามากไหม” เขาหันมามองผม นิ่งอยู่เป็นครู่ จนผมใจหายแล้วเขาก็บอกว่า
“ไม่หรอก นายคงมีเหตุผลของนาย” ผมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ก็ยังสงสัยอยู่
“ทำไม”
“อย่างน้อย นายก็ยังช่วยเราเมื่อเราเจ็บ” เขาบอกผมพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร ผมจึงยิ้มตอบและบอกว่า
“ขอบใจ…ที่ไม่โกรธเรา” ผมยื่นมือออกไปให้เขา แล้วเราก็จับมือกัน มิตรภาพระหว่างผมกับเด็กเรียนจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมาวินัยก็เข้ามาอยู่ในกลุ่มพวกผม เป็นเด็กเรียนคนเดียวในหมู่พวกผม และเขาก็ช่วยพวกผมได้มากเสียด้วย ช่วยติววิชา สอนการบ้าน หรือแม้แต่ให้ลอกการบ้านเมื่อพวกผมไม่ทำการบ้านมา เขาทำให้ผมยอมเปลี่ยนความคิดที่ว่าเด็กเรียนจะต้องเป็นคนเห็นแก่ตัว เพื่อนๆ ของผมก็เช่นกัน ทุกคนยอมรับว่าวินัยเป็นเด็กเรียนที่ “คบได้” แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มิตรภาพของพวกผมกับวินัยต้องเมินหมางจนได้ เมื่อคุณครูบอกว่าจะมีการสอบเก็บคะแนนท่องศัพท์วิชาภาษาอังกฤษ 100 คำ ในอีกสองวันข้างหน้า
“วินัย สอบวันมะรืนนี้นายต้องช่วยพวกเราหน่อยแล้วล่ะ” ผมบอกกับวินัย ในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ด้วยกัน
“เอาสิ นายบอกเพื่อนๆ สิว่าเย็นนี้ให้ไปท่องศัพท์กันมา พรุ่งนี้เราจะเอาการให้”
“ไม่ใช่ เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เด็กโง่ๆ อย่างพวกเรา ท่องวันเดียวมันจะไปรู้เรื่องอะไรตั้งร้อยคำ เราหมายความว่าให้นายส่งคำตอบให้พวกเราบ้างเวลาสอบน่ะ” วินัยนิ่งไปพักใหญ่เมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้น
“เราว่า ถ้านายพยายามท่อง มันคงไม่เกินความสามารถหรอก อย่าไปลอกเลย ได้คะแนนมามันก็ไม่ภูมิใจ”
“โธ่ นายก็พูดได้นี่ อย่างนายไม่ลอกก็ได้เต็มอยู่แล้ว แต่อย่างพวกเรา ไม่มีเวลาคิดถึงศักดิ์ศรีอะไรหรอก จะบอกให้นะ ถ้าเราไม่ลอกตอนนี้ สอบไล่เราก็ไม่มีโอกาสลอกหรอก ถ้าคะแนนเก็บเราไม่ดีก็มีหวังตก ไม่ใช่ว่าเราอยากจะลอกให้มันได้ที่ 1 ที่ 2 แต่ถ้าไม่ลอก เราก็สอบตก ถ้านายไม่ช่วยเรา เราก็เห็นจะแย่แน่ล่ะคราวนี้”
“เราว่านายลองพยายามดูก่อนดีกว่า เย็นนี้หยุดเล่นบอลซักวัน ท่องศัพท์กันก่อน เราว่านายจะต้องภูมิใจในคะแนนที่ออกมาแน่ๆ แม้ว่าจะไม่ผ่านก็เถอะ ดีกว่าเราให้นายลอกแล้วผ่านไปได้ นายจะรู้สึกแย่ทีหลัง ถ้านายจะสอบตกก็จะได้รู้ว่าทำด้วยตนเอง ไม่ได้ไปโกงใคร แต่ถ้านายสอบได้เพราะนายลอกเขา นายจะมองหน้าคนอื่นเขาได้ยังไง”
“พูดอย่างนี้ นายก็ว่าเราขี้โกงน่ะซี จะบอกให้นะว่าใครๆ เขาก็ลอกกันทั้งนั้น สุวิทย์ สมพงษ์ที่เรียนเก่งๆ ก็ลอก แล้วไงล่ะ เขาเรียนเก่งแล้วเขาก็ยังลอก ไม่เห็นเขาจะมองหน้าใครไม่ได้ คุณครูก็ชมเชยเขาดี พวกคนเก่งก็เป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า ถ้าตัวเองทำได้ก็ไม่ให้ใครลอก ถ้าตัวเองทำไม่ได้ก็ลอกอยู่ดีนั่นแหละ เราคิดว่านายจะไม่เหมือนพวกนั้น ที่แท้ก็ไม่ต่างกันหรอก ไอ้พวกหวงวิชา” ผมว่าใส่หน้าเขาแล้วก็เดินออกมาด้วยความโกรธ ถึงอย่างไรพวกผมก็ต้องสอบเก็บคะแนนครั้งนี้ให้ได้มากๆ โดยไม่ต้องพึ่งเขา ผมและพวกเด็กเรียนไม่เก่งด้วยกัน วางแผนการลอกครั้งนี้ใหม่ พวกเราลอกศัพท์ตัวเล็กๆ ใส่กระดาษไว้ ซ่อนไว้ในถุงเท้า ผมเห็นพวกเด็กทีเรียนเก่งๆ ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน เพราะสอบคราวนี้มีศัพท์ตั้ง 100 คำ ถ้าไม่ลอกก็ไม่มีใครได้เต็มอยู่แล้ว ตกลงทั้งห้องผมเห็นเขาทำโพยไว้ลอกกันหมด ยกเว้นวินัยเพียงคนเดียว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเขาเรียนวิชาภาษาอังกฤษเก่งที่สุดในห้องอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็น่าจะได้คะแนนเกือบเต็มโดยไม่ต้องลอก
เมื่อวันสอบมาถึง ทุกคนเข้าห้องสอบด้วยความพร้อมกันทุกคน คุณครูให้เราเขียนศัพท์พร้อมทั้งคำแปลเท่าที่จำได้ลงในกระดาษ แล้วคุณครูก็นั่งตรวจการบ้านของนักเรียนอยู่ที่โต๊ะหน้าชั้นเรียน นานๆ ก็เงยหน้ามองพวกเราครั้งหนึ่ง พอคุณครูก้มหน้าลง พวกเราก็หยิบกระดาษที่จดศัพท์ออกมาลอก ผมมองไปรอบห้องก็เห็นทุกคนทำเหมือนกันหมด นึกยิ้มเยาะวินัยอยู่ในใจ แม้แต่คนเรียนเก่งๆ ยังลอกกันแล้วนับประสาอะไรกับผม ถ้าไม่ลอกก็มีหวังตกเท่านั้น แล้วคุณครูก็จะตีคนสอบเก็บคะแนนตกคราวนี้ซะด้วย แต่ดูแล้วคงไม่มีใครตกแน่ๆ เพราะตั้งหน้าตั้งตาลอกกันเต็มที่ ผมเหลือบไปดูวินัย เห็นเขากำลังมองไปรอบๆ ห้องอยู่เหมือนกัน สงสัยจะติดอยู่คำหรือสองคำ คงจะดูว่าเพื่อนๆ ลอกกันได้เต็มที่ อาจจะนึกอยากลอกขึ้นมาบ้าง ส่วนตัวผมนั้นลอกเสร็จแล้ว จึงส่งโพยให้เขา อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไง
“เอาสิ เดี๋ยวไม่ได้เต็มนะ” ผมกระซิบให้เขารับโพยไป
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” เขาปฏิเสธผม แล้วลุกขึ้นเดินไปส่งงานทันที ผมยักไหล่อย่างไม่แยแส ทำเป็นมีศักดิ์ศรีไปอย่างนั้นเอง ถ้าเขาเรียนไปเก่ง ท่องศัพท์ได้ไม่ถึง 50 คำเขาก็คงไม่มีทางปฏิเสธไปได้อยู่แล้ว
แล้ววันรุ่งขึ้นคุณครูก็เอาข้อสอบที่ตรวจแล้วมาส่งคืน ให้พวกเรา ผมได้คะแนนเกือบเต็มแต่ก็รู้สึกเฉยๆ ผมหวังแค่ผ่านอยู่แล้ว
“ครูดีใจที่คราวนี้พวกเราสอบกันได้คะแนนดีทุกคน ถ้ามันมาจากความสามารถของพวกเราทุกคนโดยไม่มีใครทุจริตก็นับว่าเป็นที่น่ายินดีอย่างมาก ครั้งนี้ครูไม่เข้มงวดกับพวกเรา ไม่คอยเดินตรวจเหมือนครั้งก่อนๆ ก็เพราะว่าครูไว้ใจในเกียรติของพวกเราทุกคน ที่เป็นนักเรียน เป็นอนาคตของชาติ ครูก็หวังว่าคราวหน้าพวกเราคงได้คะแนนดีอย่างนี้อีก โดยที่ไม่มีใครทุจริตนะ” คุณครูพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ห้องทั้งห้องเงียบกริบ คงจะมีคนหลายคนรู้สึกอย่างผม รู้สึกละอายใจ แม้จะรู้ว่าคุณครูชมเชยด้วยใจจริง แต่ก็รู้สึกแย่กว่าตอนที่คุณครูดุเวลาพวกผมสอบตกเสียอีก ผมหันไปมองวินัย เห็นเขามองกระดาษในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ แต่ครูก็เสียใจและผิดคาดจริงๆ ที่นักเรียนที่ครูเห็นว่าเรียนเก่งที่สุดในห้องกลับทำคะแนนได้แย่มาก ที่จริงแล้วก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งแรก แต่เราก็ได้ตกลงกันแล้วว่าใครสอบตกครั้งนี้จะต้องโดนตี ครูคงต้องทำโทษเธอนะจ๊ะวินัย เธอมีปัญหาอะไรจะบอกครูหรือเปล่า” สายตาทุกครู่หันไปมองที่วินัย ไม่มีใครนึกถึงว่าเขาจะสอบตกในครั้งนี้ วินัยเรียนภาษาอังกฤษดีที่สุดในห้อง ใครๆ ก็รู้ ผมเองก็งงเป็นที่สุด ไม่เชื่อว่าเขาจะทำข้อสอบไม่ได้ หรือเขากำลังจะบอกอะไรผม
“ไม่มีอะไรครับ ผมไม่ตั้งใจท่องศัพท์ มัวแต่อ่านหนังสือการ์ตูน ก็เลยสอบตกครับ”
“งั้นครูคงต้องทำโทษเธอนะจ๊ะ”
“ครับ” เขาบอกพร้อมกับยืนขึ้น แต่ก่อนที่จะเดินออกไปเขาก็กระซิบบอกผมว่า
“นายเข้าใจหรือยังว่าทำไมคนบางคนยอมตายเพียงเพื่อจะรักษาศักดิ์ศรีของเขาไว้ มีชีวิตอย่างไร้คุณค่า สู้ตายอย่างมีศักดิ์ศรีไม่ได้หรอก” แล้วเขาก็เดินออกไปรับโทษอย่างสงบและ กล้าหาญด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงชัยชนะอย่างแท้จริง ผมมองไม้เรียวที่ฟาดลงที่ก้นเขา น่าแปลกที่ผมรู้สึกสงสารตัวเองมากกว่ารู้สึกสงสารเขา หลายคนในห้องก็คงคิดเหมือนผม