“หวี?” เหวยเหว่ยรับโทรศัพท์ “เหวยเหว่ย?”
“ใช่ค่ะ” “นี่เชิ่นฟาง เอ่อ…เย็นนี้ว่างไหม มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“อืม…เดี๋ยวนะ ขอเช็คดูก่อน” เหวยเหว่ยพลิกสมุดนัดบนโต๊ะ
“เสียใจจ้ะ เชิ่นฟาง มีนัดกินข้าวกับไมเคิล”
“……..”
“เชิ่นฟาง เธอเป็นไรหรือเปล่า เรื่องสำคัญใช่ไหม?”
“ก็…ใช่ มีเรื่องอยากให้เธอรู้”
“พูดเลยสิ” เหวยเหว่ยมองนาฬิกา บ่ายสามโมงกว่า เงาของตึกสูงฝั่งตรงข้ามทอดมาจับขอบโต๊ะทำงาน
“ขอโทษนะ” เสียงเชิ่นฟางแผ่วเบามาก เธอพูดหลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ เหวยเหว่ยเอนหลังเต็มที่กับพนักเก้าอี้นวม
“ขอโทษเรื่องอะไร เชิ่นฟาง เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เรื่องซีเรียสเหรอ บอกฉันมาเถอะ”
“ฉันผิดเองเหวยเหว่ย เรื่องทิวน่ะ”
“ทิว? เธอพูดถึงเขาทำไม เขามาฮ่องกงเหรอ?” ”
ไม่ใช่ เหวยเหว่ย…” เสียงถอนใจหนักหน่วง “ทิวเสียชีวิตแล้ว” ……
3. แดดสะท้อนหิมะขาววับๆบนบาทวิถี เหวยเหว่ยทำตาหยี เพราะเพิ่งออกจากโรงภาพยนตร์ นิวยอร์กในบ่ายวันอาทิตย์รถราผู้คนไม่พลุกพล่าน โดยเฉพาะย่านลินคอล์นเซ็นเตอร์ ขณะยืนรอสัญญาณข้ามถนน เธอแอบชำเลืองดูเขา เหมือนจะรู้ เขาหันมาสบตา ยิ้มให้ “แก้มคุณแดงเหมือนดอกกุหลาบเลย ลมหนาวจังนะ” เขาจูงมือเธอข้ามถนน
ร้าน Barnes&Nobles; อยู่ตรงมุมตึก เขาและเธอขึ้นไปชั้นสี่ ได้ที่นั่งในมุมกาแฟ วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เขาไปซื้อกาแฟและขนมเค้ก เธอไปเลือกนิตยสารบนแผงโชว์ “ฉันจำได้ว่าคุณชอบดื่มกาแฟใส่ครีม ไม่เติมน้ำตาล” เขามองเธอ ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายวาวราวกับอยากจะเผยอะไร เธอรู้สึกอย่างนั้นโดยเฉพาะในระยะหลังๆ เขาโคลงศีรษะเล็กน้อย ไม่พูดอะไร “กี่โมงแล้วคะ”
“บ่ายสามครึ่ง นัดไมเคิลไว้กี่โมง?”
“บ่ายสี่” แล้วเหวยเหว่ยก็ก้มหน้า พลิกนิตยสารในมือ เธอไม่แตะขนมเค้กตรงหน้า
“จะกลับไทเปเมื่อไหร่?” เสียงเขาอ่อนโยน เขามีสำเนียงพูดภาษาอังกฤษแบบชาวอเมริกัน
“ไม่ไปไทเปค่ะ เพิ่งกลับไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว จะไปเที่ยวยุโรปก่อนสามอาทิตย์ แล้วไปฮ่องกง เริ่มทำงานเลย”
“ไปกับไมเคิล?”
“อือฮึ ไมเคิลได้งานที่ฮ่องกงเหมือนกัน เราอาจแชร์อพาร์ตเมนท์” เธอเงยหน้า “แล้วคุณล่ะ? จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่”
“เรียนจบกลางเดือนพฤษภาผมก็จะกลับเลย แต่ตั้งใจจะแวะญี่ปุ่นสักสิบวัน”
“พบแฟนเก่าคุณใช่ไหม คนที่คุณเคยเล่าให้ฟัง ชื่ออะไรนะ มาซามิ?”
“ใช่ เธอจะพาผมเที่ยวเมืองนางาซากิ บ้านเกิดของเธอ ผม…..” เสียงเขาแผ่วลงแทบไม่ได้ยิน “…อยากพบเธอเป็นครั้งสุดท้าย”
“หวังว่าคุณจะเที่ยวให้สนุกนะ”
“เช่นกัน” แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เหวยเหว่ยก้มลงอ่านนิตยสารในมือต่อ คนเข้ามานั่งในมุมกาแฟมากขึ้น เสียงพูดคุยกันดังกว่าเดิม นานๆได้ยินแตรรถดังจากถนนเบื้องล่าง “ทิว…”
“เยส?” เขาหันหน้ามา ยังท้าวคาง “ไมเคิลมาแล้ว” เขายิ้ม รีบลุกขึ้นจับมือทักทายไมเคิล
“ไฮ ไมเคิล โทษที มัวแต่มองข้างนอกเพลิน สบายดีใช่ไหม?” เหวยเหว่ยรวบเรียงนิตยสาร เธอหยิบกระเป๋าถือคล้องไหล่ มองชายหนุ่มทั้งสองคุยกัน ไมเคิลอายุน้อยกว่าทิวสองปี เขาเตี้ยกว่าทิวแต่ดูบึกบึนกว่า ไมเคิลเป็นคนจีนที่เกิดในสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ย้ายมาจากไต้หวันและเปิดร้านอาหารในเมืองซานอันโตนิโอ เขาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยและร่วมชั้นเรียน MBA กับเธอ
“ดีใจด้วยกับงานที่ฮ่องกง”
“ผมก็ดีใจ บริษัทเขาออกค่าที่พักให้ด้วย แล้วงานของคุณล่ะ?”
“ผมจะเป็นนักถ่ายทำสารคดีอิสระ เตรียมโครงการไว้สองสามเรื่องแล้ว”
“ขอให้โชคดีนะ เหวยเหว่ยให้ผมดูสารคดีของคุณ ไอ ไลค์ อิท ”
“ขอบคุณ”
“ทิว…” เหวยเหว่ยนึกขึ้นมาได้ “แล้วมิวสิควีดีโอของฉันที่คุณว่าจะทำให้ล่ะ เสร็จหรือยัง?”
“เกือบแล้ว ผมให้ชื่อว่า The Snows of New York”
“ฉันจะได้ดูมั้ยเนี่ย?”
“แน่นอน”
“แน่นะ ฉันอุตส่าห์แอ๊คท่าให้คุณถ่ายตั้งเยอะแน่ะ” เหวยเหว่ยหัวเราะขันตัวเอง “เอาล่ะ เราไปกันนะ ไมเคิล”
“ไอ แอม เรดดิ่” ไมเคิลว่า หน้าตาเขาใสซื่อ เหวยเหว่ยอดไม่ได้ ยื่นมือไปลูบแก้มเขา “ไมเคิลจะทำอาหารให้ฉันกินค่ะ เขาว่าเป็นอาหารจานพิเศษที่เรียนมาจากคุณแม่เขา”
“แต่เราต้องแวะไปซื้อเครื่องปรุงบางอย่างก่อน” ไมเคิลว่า “ที่ไหน?”
“ก็ใกล้ๆอพาร์ตเมนท์ผม เป็นร้านของชำจากเอเชีย”
“ดี ไม่ต้องแวะไปไหนไกล” เธอหันมาหาทิว “ไปนะคะ”
“บาย” เขาพูด ยิ้มให้ไมเคิล “บาย ไมเคิล”
“บาย” จับมือร่ำลา แล้วเหวยเหว่ยก็เดินจากมาพร้อมกับไมเคิล
“ทิวเขาผอมลงหรือเปล่า?” ไมเคิลเอ่ยขณะทั้งสองยืนบนบันไดเลื่อน
“เหรอ ฉันไม่ได้สังเกต” เธอคล้องแขนไมเคิล
“ผมชอบงานของเขาที่คุณให้ผมดู จริงๆนะ ผมว่าเขามีเซนส์ทางศิลปะ”
เขาเป็นศิลปินค่ะ ไมเคิล พวกศิลปินมักจะอยู่ในโลกของตัวเอง ใครที่ไปรักไปชอบพวกนี้เข้า ต้องทำใจมากทีเดียว เขาเปลี่ยนความสนใจรวดเร็วมาก เบื่อง่าย ดูเก็บกด บางทีก็ไม่แยแสคนรอบตัวเลย ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ไม่มีคอมมิทเมนส์”
“คุณเลย….”
“ใช่ เรื่องอะไรจะเสียเวลา ฉันต้องการคนรักที่ให้เวลากับฉันเต็มที่ ฉันต้องการความเอาใจใส่จากคนที่ฉันรัก สนใจทุกข์สุขของฉัน…สนใจว่าฉันร้อนหนาวไม่สบาย…”
“คุณกำลังร้องไห้” ไมเคิลกุมมือเธอ เหวยเหว่ยเบือนหน้าไปอีกทาง
“ฉันผ่านมันมาแล้ว” …
.. 2. “วันนี้ฉันเห็นทิวที่คาเฟทีเรียของมหาวิทยาลัย” เชิ่นฟางนั่งอยู่บนเตียงของเหวยเหว่ย เหวยเหว่ยหันจากจอคอมพิวเตอร
์ “เหรอ”
“เหวยเหว่ย….” เชิ่นฟางทำเสียงจริงจัง “เธอซีเรียสกับเขาขนาดไหน คิดอะไรในอนาคตร่วมกันบ้างรึเปล่า?”
“ก็….ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น”
“พลีส ฉันเพื่อนสนิทของเธอนะเหวยเหว่ย พูดกับฉันตรงๆ เถอะ ฉันรู้จักเธอมาตั้งแต่ไฮสกูล และมิสเตอร์ทิวก็เป็นฉันที่แนะนำให้เธอรู้จัก ไม่พูดกับฉันแล้วจะพูดกับใคร?” เหวยเหว่ยถอนใจยาว “เราเลิกกันแล้ว”
“ฮือ ” เชิ่นฟางคราง “แต่…พูดตรงๆ ฉันสังเกตเห็นเหมือนกัน แล้ว….นานแล้วยัง….เธอทำใจได้รึเปล่า?”
“สองเดือนกว่าแล้ว ก็ที่ฉันผลุนผลันกลับบ้านน่ะแหละ ตอนนี้เหรอ….” เธอยิ้มเต็มที่ “ดูหน้าตาฉันสิ”
“เอ่อ…เป็นเพราะเรื่องที่ฉันเล่าให้เธอฟังหรือเปล่า?” เชิ่นฟางทำหน้านิ่ว
“ไม่จ้ะ ไม่ แต่….อืม….ก็….ตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นเหมือนกัน”
“ฉันเป็นห่วงเธอน่ะสิ อยากให้เธอรู้จักเขามากๆ โดยเฉพาะจากสายตาคนใกล้ชิดร่วมชั้นเรียนกับเขาอย่างฉัน”
“ฉันรู้ เชิ่นฟาง แรกๆก็ช็อคเหมือนกัน แล้วไอโกะ ตอนนี้….”
“กลับมาเรียนได้แล้ว ที่แย่ก็คือสองคนนั้นก็เลิกกันแล้วด้วย” เหวยเหว่ยเม้มปาก “ฉันเสียใจมากเลย แต่ก็ดีใจด้วย เพราะมันเป็นการเปิดตาให้ฉันมองเห็นพฤติกรรมอื่นๆ ของเขาที่ฉันไม่รู้อีก”
“อยากพูดต่อหรือเปล่า ฉันรื้อฟื้นเรื่องที่ทำให้เธอทุกข์ใช่ไหม?” เหวยเหว่ยแค่นเสียง
“ฉันผ่านมันมาแล้ว เชิ่นฟาง ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับผู้ชายคนนั้นหรอก”
“เธอเข้มแข็ง ฉันยกย่องเธอจากใจ เธอกล้าที่เป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน”
“ฉันไม่ใช่เด็กสาวแสนซื่อ ฉันเคยผ่านความรักมาเหมือนกัน …ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่….ฉันอยากรู้ชัดๆไปเลย และฉันก็ไม่แคร์ที่จะอยู่คนเดียว ฉันอยู่ตามลำพังได้”
“แต่….เธอ….เคยบอกกับฉันว่าเขา…ใช่….”
“ฉันตาบอด ฉันโง่ เชิ่นฟาง” เชิ่นฟางรีบส่ายศีรษะ “ฉันขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร ฉันขอบคุณเธอต่างหากล่ะ” ……
1. “เรื่องธรรมดาของชีวิตน่ะ เชิ่นฟาง ลงท้าย คนเราทุกคนก็ต้อง….” เชิ่นฟางหน้าตาบวมช้ำ เหวยเหว่ยมองเพื่อน แล้วน้ำตาเธอก็รินไหลออกมา
“เขาเสียเมื่อไหร่ ทำพิธีไปแล้วเหรอ เขา…เป็นอะไร?” คำถามสุดท้ายเกือบกลายเป็นเสียงสะอื้น ทั้งสองไม่พูดไม่จา เชิ่นฟางก้มมองถ้วยชาในมือ เธอบังคับตัวเองไม่ให้ร่วมร้องไห้กับเหวยเหว่ย เหวยเหว่ยลุกไปห้องน้ำ เธอกลับมาด้วยดวงตาแดงช้ำ พยักหน้าให้เชิ่นฟาง เชิ่นฟางยกมือข้างหนึ่งปิดปาก มือเธอสั่น เสียงสั่น
“เขาเป็นมะเร็งในสมอง เสียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพิ่งฝังไปเมื่อวาน” เหวยเหว่ยนิ่ง นาน
“เธอรู้ข่าวเขาได้อย่างไร?” มือเชิ่นฟางสั่นมากขึ้น เธอประสานมือ บีบกันจนนิ้วเกร็ง “ไอโกะ”
“หือ…ไอโกะ?”
“ไอโกะส่งข่าวให้ฉันทราบ เพื่อนของเธออยู่ในเมืองไทยช่วงที่ทิวเสียชีวิต และ….” เชิ่นฟางกลืนน้ำลาย
“มีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ….” เหวยเหว่ยมองเชิ่นฟาง
“ไอโกะยังรักทิว แต่….” เชิ่นฟางรีบพูดต่อ “เธอรักเขาแบบเคารพยกย่อง เหวยเหว่ย…” เชิ่นฟางเงยหน้ามองเหวยเหว่ย
“ไอโกะท้อง ไม่ใช่กับทิว เธอเมายาในงานปาร์ตี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร” เหวยเหว่ยพูดไม่ออก “ทิวอยู่กลุ่มเดียวกับไอโกะในวิชาหนึ่ง เขาไปหาเธอที่อพาร์ตเมนท์เพื่อจะเอาการบ้านไปให้ แล้วก็พบไอโกะนอนซมหลังกลับจากให้หมอเอาเด็กออก เขาอยู่ดูแลเธอสองอาทิตย์ คนก็พูดกันอย่างที่เราได้ยิน แต่ทิวขอร้องไอโกะไม่ให้อธิบายอะไร”
“ทำไม” เหวยเหว่ยกัดริมฝีปาก “…….” เชิ่นฟางร้องไห้ “เขารู้แล้วว่าเขาเป็นมะเร็ง” เหวยเหว่ยมองเชิ่นฟาง เธอค่อยๆเบือนสายตาขึ้นมองเพดานร้านอาหาร แต่เธอไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรอีก แม้แต่เสียงเชิ่นฟางที่พูดต่อ เธอเข้าใจแล้ว …..
0. มิวสิควีดีโอ “หิมะเมืองนิวยอรก์”
ทั้งเรื่องเป็นเพียงภาพหิมะบนขอบหน้าต่างที่กำลังละลาย
พิจารณาให้ดี จะสังเกตเห็นเงาคนในห้องที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่าง
เหวยเหว่ยอยู่ในอ้อมกอดของทิว เขามองหิมะที่กำลังละลายช้าๆ ส่วนเธอหลับสนิท