พร้อมให้ตรวจสอบ! ทายาทเจ้าของที่ดินก่อนขายให้ ศรีพันวา ยันมีเอกสารถูกต้อง

News

(25 ก.ย.63) ยังไม่จบกรณีที่ดินที่ตั้งโรงแรม “ศรีพันวา” ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังกลายเป็นข่าวดัง หลังจากที่ผู้บริหารโรงแรมได้ออกโพสต์ประณามพฤติกรรมของแกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก จนเกิดกระแสแบนศรีพันวา ขณะที่คณะกรรมาธิการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดดรับแถลงเตรียมเข้าตรวจสอบเรื่องของการได้มาของเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากประชาชนกำลังให้ความสนใจ

ล่าสุด ทางทายาทเจ้าของที่ดินเดิมก่อนที่จะขายให้แก่ “ศรีพันวา” ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ Khwanjai Khumban โดยระบุว่า “ขำนะ พี่ ที่ศรีพันวานะ. ที่ของนายเสน คุ้มบ้าน และนายสันต์ คุ้มบ้าน ขายให้กับศรีพันวา. ตั้งแต่ ขวัญ อายุ 9 ขวบแล้วค่ะ. เพราะเป็นที่พ่อขวัญเอง. ขายไร่ละ 6 แสนบาท. เป็นพื้นที่ด้านหน้าสุด. 12 ไร่ ส่วนด้านหลัง เป็นของญาติๆ กัน. มีโฉนดที่ดินพร้อม ยืนยันได้ค่ะ. และติดกับพื้นที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หากไม่มีโฉนดถูกต้องโดนฟ้องมาก่อนจะขายนะคะ. ที่ทั้งหมดตรงแหลมนั้น เมื่อสมัยปู่ขวัญ เป็นของปู่แดง และต้นตระกูล “คุ้มบ้าน” เมื่อก่อนถนนจะอยู่ด้านหลังของ รร.เดอะเบย์. แต่พอมีการขอที่ดินตรงนั้นเพื่อสร้าง ศูนย์วิจัยสัตว์น้ำ. ต้นตระกูล “คุ้มบ้าน” เลยยกพื้นที่และถนนด้านที่ติดทะเลให้เพื่อทำและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม คนที่เขียนโจมตี อยากให้ศรีพันวาฟ้องกลับให้หมดเลยนะคะ. ไม่รู้ข้อมูลแล้วยังจะแถไม่เข้าเรื่อง”

จากการสอบถาม น.ส.ขวัญใจ คุ้มบ้าน อายุ 46 ปี บุตรสาวของ นายเสน คุ้มบ้าน ซึ่งเป็น 1 ในผู้ครอบครองที่ดินก่อนขายให้แก่ตระกูลอิสระ เพื่อสร้างโรงแรมศรีพันวาในปัจจุบัน เปิดเผยว่า ในอดีตที่ดินบริเวณแหลมพันวาเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ปลายแหลมซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรม ยาวมาจนถึงพื้นที่ของทัพเรือภาคที่ 3 เคยเป็นของต้นตระกูล “คุ้มบ้าน” และญาติพี่น้อง ซึ่งที่ดินในส่วนของตน มีนายเสน คุ้มบ้าน พ่อของตน กับน้องชาย นายสัน คุ้มบ้าน และพี่น้องครอบครองนั้นมีจำนวน 12 ไร่ อยู่บริเวณจุดที่ก่อสร้างอาคารหลังแรกของโรงแรมในปัจจุบัน โดยมีโฉนดถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน เพราะตนเองจำได้ว่าขณะนั้นเรียนอยู่ชั้น ป.4 อายุประมาณ 10 ขวบ (ประมาณปี 2527) ได้เป็นผู้อ่านข้อมูลทั้งหมดให้แก่พ่อตอนที่ทำหนังสือสัญญาซื้อขาย เพราะพ่อของตนอ่านหนังสือไม่ออก

ส่วนที่ดินแปลงดังกล่าวจะขายโดยตรงให้แก่ศรีพันวาหรือไม่นั้นตนเองไม่แน่ใจ ต่อมาเมื่อตนเรียนถึงชั้น ป.6 ประมาณปี 2529 อาคารหลังแรกของโรงแรมก็เริ่มสร้าง โดยที่ดินตรงนี้ตนเองจดจำได้ดี เพราะเคยไปปลูกข้าวโพด และตะไคร้กับแม่ตอนเด็กๆ โดยจุดดังกล่าวมีทางเข้า 2 ด้าน คือ ด้านทางขึ้นไปโรงแรมเคปพันวาซึ่งเป็นเส้นทางเก่า และอีกเส้นทางคือหน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซึ่งโรงแรมศรีพันวาได้มาซื้อเพิ่มจากอดีตผู้ใหญ่บ้าน ปัจจุบันเป็นกำนัน ซึ่งเป็นเครือญาติของตน

น.ส.ขวัญใจ กล่าวต่อไปว่า ที่ตนเองออกมาพูดเรื่องนี้เนื่องจากที่โซเชียลมีเดียได้มีการโพสต์โจมตี ว่า ที่ดินดังกล่าวอาจจะบุกรุกป่าไม้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ตนเองเป็นลูกหลานเจ้าของที่ดิน ถึงแม้จะขายไปแล้วแต่เราก็รัก และเคารพญาติพี่น้อง รวมถึงบรรพบุรุษของเรา ยืนยันว่าเราทำทุกอย่างตามกฎหมาย ส่วนโรงแรมศรีพันวานั้นแม้จะซื้อขายไปแล้วและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว แต่ก็มีการพาดพิงถึงที่มาที่ของดินซึ่งเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษของเราก็ต้องออกมาชี้แจง ทั้งนี้ยินดีให้ข้อมูลหากหน่วยงานไหนจะมาตรวจสอบ

น.ส.ขวัญใจ กล่าวอีกว่า จากที่ตนทราบโรงแรมศรีพันวา มีพื้นที่ครอบครอง เนื้อที่รวม 52 ไร่ ซึ่งอดีตหากไล่เรียงพื้นที่ครอบครองจากทางเข้าไปถึงปลายแหลม เคยเป็นของ นายเสน คุ้มบ้าน พ่อของตน นายสัน คุ้มบ้านมีศักดิ์เป็นอา ถัดไปเป็นของนายสนิท คุ้มบ้าน และคนอื่นอีกหลายราย ซึ่งอดีตพ่อแม่เล่าว่าที่ดินต้นตระกูลครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าวเกือบทั้งอ่าว ก่อนได้แบ่งพื้นที่ยกให้สร้างหน่วยงานราชการหลายแห่งทั้ง ทัพเรือภาคที่ 3 และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลคุ้มบ้าน เพราะได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศ

โดยพื้นที่โดยรวมของแหลมในอดีต ไม่ได้เป็นป่า มีการใช้ประโยชน์ ปลูกพืช เช่น ข้าวโพด ตะไคร้ สะตอ ผักต่างๆ บริเวณส่วนปลายแหลมที่เป็นจุดที่มีวิวสวยที่สุด มีบ้านเรือนของ โต๊ะอูเส็น กับโต๊ะอูหมาด ตั้งอยู่ ซึ่งลูกหลานทั้งสองก็ยังอาศัยอยู่ใกล้ๆ โรงแรมในปัจจุบัน ซึ่งสามารถสอบถามความจริงได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม จากที่โซเชียลตั้งคำถามนั้น ทำไมไม่คิดถึงหลักความเป็นจริงว่าถ้าเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ของรัฐ หน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่คงฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้ว ซึ่งตนเองยืนยันว่ามีเอกสารสิทธิถูกต้องมาตั้งแต่ช่วงที่ครอบครัวของตนเองครอบครอง